1. เหตุด่วน ที่ต้องการความช่วยเหลือทันที เช่น ในขณะที่ถูกกระทำ มีภัยใกล้ตัว
โทรสายด่วน 191 เพื่อเรียกตำรวจ
แจ้งให้ชัดเจนว่า ต้องการความช่วยเหลือ ที่ไหน อย่างไร ถ้าเป็นไปได้สอบถามเจ้าหน้าที่ปลายสายว่า จะใช้เวลานานแค่ไหนที่จะมาถึง ถามชื่อเจ้าหน้าที่ให้แน่ใจ ปกติแล้วสายตรวจจะมาภายใน 5-10 นาที
โทรสายด่วน 1300 กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ซึ่งในปัจจุบันนอกจากมีหน้าที่ให้ข้อมูลแล้วยังมีนโยบายให้เจ้าหน้าที่ผู้รับสายต้องประสานงานให้มีการลงพื้นที่ด้วย
โทรสายด่วน 1669 ขอความช่วยเหลือทางการแพทย์ฉุกเฉิน (เบอร์นี้จะต้องโทรโดยคนในจังหวัดเดียวกันกับผู้เสียหาย ไม่สามารถโทรข้ามจังหวัดได้)
โทรสายด่วน 1157 ปรึกษาปัญหากฎหมายสำนักงานอัยการสูงสุด
2. สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความปลอดภัยทั้งกายและใจของผู้เสียหาย : ที่แรกที่ควรไปคือโรงพยาบาล (ไม่ใช่สถานีตำรวจ)
เมื่อติดต่อโรงพยาบาล ให้ข้อมูลกับพยาบาลว่าเป็นเคสที่ต้องการความช่วยเหลือจากศูนย์พึ่งได้ One Stop Service Center (OSCC) ให้ผู้เสียหายได้ตรวจร่างกาย พบนักสังคมและนักจิตของโรงพยาบาล ควรมีบุคคลที่ไว้ใจอยู่ด้วยเสมอ ทั้งนี้สามารถขอข้อมูลเพิ่มเติมในระบบOSCC ของโรงพยาบาลได้ที่เบอร์ 1300
ทางร่างกายคุณหมอสามารถบันทึกบาดแผลที่เกิดขึ้น ในระบบOSCC ซึ่งเมื่อมีการร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน พนักงานสอบสวนจะต้องมาเอาใบนี้ (เรียกว่าใบชันสูตร)จากโรงพยาบาลไปประกอบสำนวน
3. รับฟังด้วยใจ ไม่ตัดสิน
คนที่จะช่วยผู้เสียหายได้มาก ตลอดการเดินทางออกจากวงจรความรุนแรง คือ ‘ผู้รับฟังที่ดี’การรับฟังที่ดีคือการฟังจริง ๆ ไม่ใช่ฟังเพื่อตั้งคำถาม ไม่ใช่ฟังเพื่อคิดหาคำตอบ ไม่ใช่ฟังเพื่อตัดสิน แต่รับฟังเพื่อเป็นประจักษ์พยานกับความรู้สึก ความสับสน ความเจ็บปวด ความทุกข์ ของผู้ที่กำลังประสบปัญหา สิ่งนึงที่เราสามารถยืนยันกับผู้เสียหายได้ คือการยืนยันไม่ให้เขาโทษตัวเอง เพราะความรุนแรงที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความผิดของผู้ถูกกระทำ
ผู้เสียหายจะโดนผู้ใช้ความรุนแรง (Abuser) โทษและทุบตีทางกายใจคำพูดมาตลอด เพราะฉะนั้นไม่แปลกเลยที่เขาจะนั่งโทษตัวเอง ทุบตีตัวเอง ซึ่งเพื่อนและคนใกล้ตัว ควรจะช่วยสะท้อนว่า ‘นี่ไม่ใช่ความผิดของคุณ’ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ผู้กระทำไม่มีสิทธิมาทำร้ายเขาทั้งสิ้น
4. หาข้อมูลผู้ให้คำปรึกษา หน่วยงาน องค์กรที่เกี่ยวข้อง
คนใกล้ตัวควรช่วยหาทางเลือกต่าง ๆ อาจจะช่วยประสานหาเจ้าหน้าที่ที่มีทัศนคติที่ดีมาช่วยเสริม
ซึ่งหน่วยงานรัฐที่มีหน้าที่หลักคือ สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงมนุษย์ (พม.) มีทุกจังหวัด มีพนักงานเจ้าหน้าที่ที่มีหน้าที่รับผิดชอบกรณีความรุนแรง ฯ โดยเฉพาะ
นอกจากนี้สิ่งที่จะช่วยได้มาก ๆ คือการหานักสังคม นักจิต ในโรงพยาบาลใกล้บ้าน ที่จะช่วยฟื้นฟูจิตใจผู้เสียหายในช่วงนี้ได้
สามารถหาตำแหน่งที่ตั้งของสำนักงานภายใต้สังกัดกระทรวงพม. ได้ที่นี่
5. เอ็นจีโอ องค์กรไม่แสวงกำไร องค์กรสาธารณะประโยชน์ ใครช่วยเราได้บ้าง
มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล เบอร์ 02 513 2889
มีนักสังคมและมีทนายอาสา Facebook
มูลนิธิส่งเสริมความเสมอภาคทางสังคม Facebook
SHero Thailand Line ID @sherothailand
สามารถโทร 1387 ขอคำปรึกษาจากสายเด็ก Childline
Twitter @Saidek1387
ติดต่อ
มูลนิธิศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็ก Facebook
โทร 0-2412-1196, 0-2412-0739, 0-2864-1421
หน่วยงานราชการ สามารถติดต่อ พม. ในจังหวัด
7. ใช้หลัก Survivor-centredและให้อำนาจกลับคืนแก่ผู้ได้รับผลกระทบ
ก่อนที่จะก้าวไปสเต็ปต่อไป ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ไม่ใช่ทุกเคสเขาอยากจะแจ้งตำรวจดำเนินคดีในทันที ในฐานะเพื่อนหรือคนใกล้ตัวของผู้เสียหายเราไม่ควรกดดันผู้เสียหาย (นอกจากว่าเป็นระยะฉุกเฉินอันตรายถึงชีวิต ต้องรีบแจ้งพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจตามกฎหมาย หาทางพาผู้เสียหายออกจากจุดอันตรายทันทีและขอคุ้มครองสวัสดิภาพฉุกเฉินตามข้อ 10.) ในระยะที่ยังไม่ถึงขีดอันตราย เพื่อนหรือคนใกล้ตัวอาจจะต้องให้เวลาผู้เสียหายได้ตัดสินใจ ฟื้นฟูสภาพจิตใจ คอยรับฟังจนกว่าผู้เสียหายจะพร้อมดำเนินการหรือออกมาจากความสัมพันธ์ ทำได้โดยการให้ทางเลือกและให้อำนาจในการตัดสินใจกลับคืนสู่ผู้ที่ได้รับผลกระทบ
เรื่องอำนาจสำคัญมาก ความรุนแรงระหว่างคู่รักเป็นความรุนแรงเชิงอำนาจ ผู้เสียหายจาก Domestic Violence มักถูกกดขี่ควบคุม ใช้อำนาจเหนือ ทำให้ผู้เสียหายรู้สึกด้อยค่า ผู้กระทำอาจใช้คำพูดที่ทำให้ผู้เสียหายรู้สึกกล่าวโทษตัวเอง ไม่กล้าตัดสินใจ (อ่านเพิ่มเติมเรื่องการบังคับควบคุม Coercive Control) คนใกล้ตัวจึงต้องระวัง ไม่กดดันหรือใช้อำนาจเหนือผู้เสียหายซ้ำ เคารพพื้นที่และให้เวลาผู้เสียหายในการตัดสินใจ ร่วมรับฟังและวางแผนด้วยกัน
8. การแจ้งความ
ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในคู่รัก ในครอบครัว จะใช้พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรง ปี 2550 ซึ่งเป็นฉบับที่ยังมีผลบังคับใช้ในปัจจุบัน เนื่องจากพระราชบัญญัติส่งเสริมสวัสดิภาพครอบครัว ฯ ฉบับปี 62 ถูกพระราชกำหนดทำให้ระงับการบังคับใช้
เนื่องจากเป็นกรณีอาญา สามารถดำเนินการแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษที่สถานีตำรวจได้ ในอดีตต้องแจ้งสน.หรือสภ.ที่เกิดเหตุเท่านั้น แต่ปัจจุบันมีประกาศออกมาแล้วว่าแจ้งที่สถานีตำรวจแห่งใดก็ได้ทั้งสิ้น
9. บันทึกประจำวันไม่เท่ากับการเปิดคดี
หลายคนเข้าใจว่า เมื่อบันทึกประจำวันแล้ว ถือว่าคดีเริ่มเดินหน้าแล้ว แต่ความจริงไม่ใช่ บันทึกประจำวัน
– เพื่อเป็นหลักฐาน
– เพื่อการแจ้งความ ร้องทุกข์กล่าวโทษ
สองข้อนี้มีความแตกต่างกัน หากบันทึกประจำวันเพื่อเป็นหลักฐานเฉย ๆ ในทางปฏิบัติเจ้าหน้าที่จะถือว่ายังไม่เป็นการแจ้งความ อายุความยังไม่หยุดเดิน (คดี DV อายุความเพียงสามเดือน)
หากต้องการให้เกิดการดำเนินคดี ต้องเน้นย้ำกับเจ้าหน้าที่ผู้รับเรื่องว่าเรากำลังต้องการ ‘ร้องทุกข์กล่าวโทษ’ ต่อพนักงานสอบสวน เพื่อเริ่มกระบวนการ
เมื่อมีการแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษ อายุความหยุดลงทันที
เมื่อไปที่สถานีตำรวจ เพื่อน คนใกล้ตัว หรือคนที่ผู้เสียหายไว้ใจควรไปด้วย จากประสบการณ์เรามีหลายเคสที่ไปสถานีแล้วถูกปฏิเสธไม่รับเรื่อง ความจริงแล้วตำรวจไม่สามารถปฏิเสธได้ เป็นหน้าที่ที่เขาต้องคุ้มครอง เพราะฉะนั้นการช่วยเหลือในระยะแรกจึงต้องดูแลเสริมพลังทั้งด้านกาย สังคม และจิตใจ
ปัจจุบันขาดแคลนพนักงานสอบสวนคดีความรุนแรงในครอบครัว ลักษณะการถาม การพูด สอบปากคำ อาจจะกระทบจิตใจผู้เสียหาย จึงเป็นเรื่องที่ต้องระวังและอธิบายเจ้าหน้าที่ ขอความร่วมมือให้สอบปากคำในพื้นที่ที่ปลอดภัยสำหรับผู้เสียหาย (กรณีผู้เยาว์ต่ำกว่า 18 ปี ควรสอบโดยมีนักจิตนักสังคมอยู่ด้วย ควรสอบโดยอัยการเพื่อลดการสัมภาษณ์ซ้ำ)
10. ขอคำสั่งคุ้มครองสวัสดิภาพผู้เสียหายจากความรุนแรงในครอบครัว (Protection order/Restraining Order) สามารถขอด้วยตัวเองได้ที่ศาลเยาวชนและครอบครัว
แบบฟอร์ม สามารถขอแบบธรรมดาและแบบฉุกเฉิน
สิ่งที่ต้องทำหลังจากได้คำสั่งมาแล้ว ควรเก็บสำเนาหลักฐานเอกสารไว้เสมอ*
นอกจากนี้ยังสามารถติดต่อ ศูนย์ให้คำปรึกษาเพื่อแนะนำช่วยเหลือผู้เสียหายและครอบครัว (Counseling Center for Victims and Families) ศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง โทร.02-2725202 ต่อ1207, 0805535970 เพื่อขอคำปรึกษาทางกฎหมายและขอให้ช่วยดำเนินการคุ้มครองผู้เสียหายและพยาน
การช่วยประเมินความปลอดภัยเบื้องต้น
ระบุทรัพยากรที่ผู้เสียหายมีอยู่ (คน เงิน วัสดุอุปกรณ์)
· คุณพอจะหนีไปไหนได้บ้าง ช่วยผู้เสียหายในการคิดหาสถานที่ปลอดภัยอย่างน้อยหนึ่งที่ที่ผู้เสียหายนั้นสามารถไปได้ทันทีในกรณีฉุกเฉิน ผู้เสียหายควรเตรียมสถานที่เอาไว้ล่วงหน้า
· คุณเชื่อใจใครบ้าง พยายามคิดถึงใครสักคน (เพื่อนบ้าน เพื่อน คนในครอบครัว องค์กร) ที่ผู้เสียหายเชื่อใจ เช่น พูดคุยเกี่ยวกับการส่งสัญญาณหาเพื่อนบ้านที่ช่วยเหลือได้ เพื่อให้เพื่อนวางวางแผนมาเป็นกลุ่มเมื่อได้เห็นสัญญาณนั้น
· คุณมีทรัพยากรทางการเงินที่ใดบ้าง ผู้เสียหายสามารถเก็บซ่อนเงินจากผู้ใช้ความรุนแรงหรือเก็บในที่ปลอดภัยที่จัดไว้ได้หรือไม่
· คุณมีทรัพยากรด้านวัสดุอุปกรณ์อะไรบ้าง มีวัสดุอุปกรณ์ชิ้นใดบ้างที่สามารถนำออกห่างจากผู้ใช้ความรุนแรงได้ มีชิ้นใดบางที่สามารถนำมาใช้ช่วยเหลือผู้เสียหายในกรณีที่ต้องการรายได้
หารือกับผู้เสียหายว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าจำเป็น/ตัดสินใจหนี[1] :
· ถ้าต้องหนี จะเอาอะไรไปด้วย เอกสารสำคัญ เช่น เอกสารแสดงตัวตนสำหรับผู้เสียหายและบุตร, เสื้อผ้า, อาหาร, และเงินพร้อมกับวิธีการพกพา
· ถ้าต้องหนี จะเกิดอะไรขึ้นกับบุตรของคุณ ถ้าผู้เสียหายมีบุตร บทบาทของบุตรในการหนีคืออะไร ผู้เสียหายเกือบทุกกรณีจะพาบุตรของตนหนีไปด้วย ผู้เสียหายจึงควรต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของบุตรและบุตรของตนสามารถแบกรับสถานการณ์ได้มากเพียงใด ถ้าบุตรจะไม่ไปด้วย การจัดการเพื่อการดูแลคืออะไร
· ใครจะตกอยู่ในอันตรายบ้างถ้าต้องหนี พิจารณาว่าผู้ใช้ความรุนแรงจะเอาความรุนแรงนั้นไปลงที่ผู้อื่นหลังจากที่ผู้เสียหายหนีไปหรือไม่
อ่านเพิ่มเติมเรื่องการวางSafety Plan เมื่อเกิดเหตุการณ์ในช่วงที่ต้องกักตัวได้ใน เพจชีโร่
[1] GBVIMS (2017). Interagency gender-based violence case management guidelines: providing care and case management services to gender-based violence survivors in humanitarian settings. 1st edition.
Thank you for visiting SHero Thailand.
As we mark our 9th year as a 100% volunteer-run organization, we have reached our operational limits. We’re actively seeking additional resources to ensure sustainability and are currently focusing on supporting our existing clients.
At this time, we are unable to offer active responses or accept new legal consultation requests due to our limited capacity.
In Case of Emergencies:
Thai Police: Call 191
Tourist Police: Call 1155 (available 24/7 and offer English-speaking support)
For Further Assistance:
Women and Men Progressive Movement
Email: info@wmp.or.th
Phone: 02-513-2889
Website: https://www.wmp.or.th/contact
We sincerely appreciate your understanding and are committed to resuming our services as soon as possible.
Warm regards,
SHero Team