Warning: เนื้อหาเกี่ยวข้องกับความรุนแรงด้วยเหตุแห่งเพศ
การฆ่าเพราะความเป็นหญิงหรือเด็กหญิง (Gender-related killings of women and girls) หรือที่หลายคนรู้จักกันเป็นอย่างดีในนามของ Femicide/Feminicide/อิตถีฆาต คือ อาชญากรรมร้ายแรงที่กล่าวอย่างกว้าง ๆ ได้ว่าเป็นการฆาตกรรมอันมีแรงจูงใจแฝงในการก่อเหตุ (underlying intent/motive) ที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของบริบททางเพศของความเป็นผู้หญิงหรือความเป็นเด็กหญิงอันได้แก่ การถูกเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งเพศ (Sex Discrimination) การถูกทำให้เป็นทรัพย์สินของผู้ชาย/การมีอภิสิทธิ์เหนือผู้หญิงหรือเด็กหญิง หรือ การถูกทำให้เป็นเพศรองจากผู้ชาย (Male Dominance – Female Subordination) อำนาจที่ไม่เท่าเทียมกันระหว่างผู้ชายและผู้หญิงในสังคม ฯลฯ โดยสภาวะเหล่านี้เกิดขึ้นได้ในสังคมที่โอบอุ้มปิตาธิปไตยหรือระบบชายเป็นใหญ่ (Patriarchy) มาอย่างช้านาน
ท่ามกลางโครงสร้างชายเป็นใหญ่ ซึ่งสถาปนาให้เพศชายมีอำนาจเหนือกว่าเพศอื่นในสังคม สิ่งที่ย่อมเกิดขึ้นตามมาคือความไม่เท่าเทียมทางเพศในหลายมิติ เช่น เศรษฐกิจและการเมือง การศึกษา ความรุนแรงในครอบครัว ฯลฯ และการวางกรอบและบริบททางสังคม เช่น บทบาททางเพศ (Stereotyped Gender Roles) ส่งผลให้กลุ่มเพศที่ถูกมองว่าเป็นรอง เช่น ลูกสาว หรือ ภรรยา (เพศหญิง) จะต้องเชื่อฟังและทำตามผู้เป็นพ่อ หรือ สามี (เพศชาย) ที่ถูกวางบริบทเอาไว้ให้เป็นหัวหน้าครอบครัว ประเทศไทยเป็นอีกประเทศหนึ่งที่ยังคงดำรงไว้ซึ่งขนบธรรมเนียมดังกล่าวตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน ถึงแม้ว่าในทางกฎหมายชายและหญิงจะเท่าเทียมกันก็ตาม
การมองว่าเพศหญิงเป็นทรัพย์สมบัติของเพศชายจึงไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับสังคมไทย แต่เป็นสิ่งที่สังคมยุคปัจจุบันจะต้องให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพราะมุมมองเช่นนี้นี่เองที่เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดการฆ่า กล่าวคือเมื่อผู้หญิง (หรือเด็กหญิง) ประพฤติออกนอกกรอบที่สังคมชายเป็นใหญ่ได้วางเอาไว้ ความรุนแรงในรูปแบบต่าง ๆ ก็จะถูกกระตุ้น ซึ่งเกิดขึ้นส่วนใหญ่จากผู้ชายเพศชาย ตั้งแต่ความรุนแรงในระดับการทำร้ายจิตใจและร่างกาย ไปจนถึงการฆ่าเอาชีวิต เช่น การฆ่าเพราะความหึงหวงในตัวของผู้หญิงประหนึ่งเธอเป็นทรัพย์สมบัติส่วนตัวของตน เมื่อเพศชายถูกหล่อหลอมด้วยความคิดชายเป็นใหญ่มาเป็นเวลานาน ความเป็นชาย (เช่น ความเป็นพ่อ ความเป็นสามี) จึงสั่งสมจนกลายเป็นพิษ (Toxic Masculinity) และอาจส่งผลทำให้เกิดความคิดที่ว่าตนมีสิทธิจะทำอะไรก็ได้กับคนในอำนาจของตน (Female Subordination) ซึ่งในกรณีนี้ก็รวมถึงการกระทำความรุนแรงต่อผู้หญิงเช่นกัน
นอกจากนี้สาเหตุในการฆ่านั้นสามารถพิจารณาแยกย่อยลงไปตามหลักจิตวิทยาและสภาวะทางสังคมอื่น ๆ อีก ได้แก่ การฆ่าเพราะเกลียดชังผู้หญิง (Misogynistic killing) เช่น โศกนาฎกรรมอันน่าสะพรึงที่รัฐมอนทรีออล ประเทศแคนาดา ในปี ค.ศ.1989 ที่ฆาตกรมีกลุ่มเป้าหมายในการฆ่าอย่างเฉพาะเจาะจง ได้แก่ เพศหญิง และกลุ่มคนที่เขาเข้าใจว่าเป็นเฟมินิสต์ (อยากชวนคิดเป็นข้อสังเกตสำหรับผู้อ่าน ว่าสังคมยังมีมายาคติที่เหมารวมว่า เป็นผู้หญิง = เป็นเฟมินิสต์) นอกจากนี้ การฆ่าเพราะเกลียดชังผู้หญิงยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในรูปแบบของการกราดยิง (Mass shooting) ดังที่เราเห็นในข่าวกราดยิงที่พารากอนเมื่อปลายปี 2566 ที่ผ่านมา ซึ่งผู้เสียชีวิตเป็นผู้หญิงถึง 6 คน จากบรรดาผู้เสียชีวิตทั้งหมด 7 คน
ยิ่งไปกว่านั้น นอกจากปัจจัยทางเพศ อิตถิฆาตสามารถเกิดขึ้นได้จากปัจจัยที่ทับซ้อนยิ่งกว่านั้นได้เช่นกัน อนึ่ง จากมุมของทฤษฎีอำนาจทับซ้อน (Intersectionality) เมื่ออัตลักษณ์ของบุคคลหนึ่งไม่ได้อยู่แยกออกจากกันอย่างสิ้นเชิง อัตลักษณ์อื่นที่ทับซ้อนกันอยู่นั้นจึงสามารถส่งผลต่อบริบททางเพศและก่อให้เกิดความรุนแรงในรูปแบบเฉพาะเจาะจงอื่นได้อีก เช่น Racist Femicide การฆ่าเพราะเป็นผู้หญิงผิวดำ Homophobic Femicide การฆ่าเพราะเป็นหญิงรักหญิง Transphobic Femicide การฆ่าเพราะเป็นหญิงข้ามเพศ นอกจากนี้ การฆ่าเด็กหญิง/การทำแท้งลูกสาว เพราะต้องการลูกชาย (Son Preference) ซึ่งถือเป็นการเลือกปฏิบัติ ก็สามารถถูกตีความว่าเป็น Femicide ได้เช่นกัน (Radford, 1992a: 7)
แรงจูงใจ/สาเหตุอันหลากหลายในการลงมือฆาตกรรมผู้หญิงและเด็กหญิงในข้างต้นเหล่านี้ สามารถเป็นอีกหนึ่งหลักฐานยืนยันได้ว่าการกดทับที่มีต่อผู้หญิงและเด็กหญิงนั้น ไม่ได้ดำรงอยู่เพียงแค่บนปัจจัยการกดขี่ทางเพศ (Sexism) เสมอไป แต่ยังสามารถถูกกดทับในลักษณะที่ทับซ้อน (Intersectional) และยึดโยงกับปัจจัยอื่นในสังคม เช่น การเหยียดสีผิว (Racism) การเหยียดรสนิยมทางเพศ (Homophobic) การเกลียดชังคนข้ามเพศ (Transphobic) ฯลฯ ได้อีกด้วย ดังนั้นจึงไม่อาจปฏิเสธได้ว่า การพิจารณาปัจจัยหรือสาเหตุอันเกี่ยวข้องกับ Femicide จะไม่สามารถมุ่งพิจารณาไปที่แกนอัตลักษณ์ทางเพศอย่างเดียวได้ แต่จำเป็นที่จะต้องคำนึงถึงความหลากหลายที่ทับซ้อนกัน (Intersectionality) ของสาเหตุในการเลือกปฏิบัติที่ผู้หญิงและเด็กหญิงต้องเจอในสังคมด้วยเช่นกัน
ประวัติของคำว่า Femicide:
คำว่า Femicide ถือกำเนิดขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1976 โดย Diana Russell เธอมีจุดมุ่งหมายที่จะสร้าง “ความตระหนัก” ถึงความรุนแรงทางเพศเกี่ยวกับการเสียชีวิตอย่างมีนัยยะสำคัญของ “ผู้หญิง” บนพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับบริบททางเพศ และเธอมีความต้องการที่จะสร้างความเฉพาะเจาะจงให้กับการกระทำในลักษณะนี้ ให้แยกออกมาจากคําว่า “ฆาตกรรม” (homicide) ที่มีลักษณะเป็นกลางทางเพศและปราศจากการพิจารณาถึงสาเหตุจริง ๆ ที่ซ่อนเร้นอยู่ เช่น ความเกี่ยวข้องกับบริบททางเพศในสังคม กล่าวคือ เมื่อมีเหตุการณ์การฆ่าผู้หญิงเพราะความเป็นหญิงเกิดขึ้น คำว่าฆาตกรรมไม่สามารถสื่อถึงความรุนแรงทางเพศดังกล่าวได้อย่างครอบคลุมและลึกซึ้งมากเพียงพอ เพราะไม่ได้มีการกล่าวถึงหรือให้ความสำคัญถึงแรงจูงใจที่เกี่ยวข้องกับเพศ (gender) แต่อย่างใด ดังนั้น Russell (2015) จึงมองว่าเทคนิคที่สำคัญสำหรับการขับเคลื่อนประเด็นการต่อต้านความรุนแรงดังกล่าว คือการเริ่มต้นสร้างกลุ่มคำแยกออกมาจากคำว่า Homicide เพื่อเจาะจงให้เห็นถึงกลุ่มเป้าหมายหลักและลักษณะของความรุนแรงนี้นั่นเอง
Femicide มักจะเป็นอาชญากรรมที่เกิดขึ้นเป็นลำดับสุดท้ายหลังจากเกิดความรุนแรงด้วยเหตุแห่งเพศอื่น ๆ เช่น การทำร้ายร่างกาย หรือการทำร้ายทางจิตใจ (emotional abuse) ที่เคยเกิดขึ้นในความสัมพันธ์อีกด้วย ในปี 2022 ผู้หญิงและเด็กหญิงประมาณ 48,800 คนทั่วโลกถูกฆาตกรรมโดยบุคคลที่เธอมีความสัมพันธ์ใกล้ชิด เช่น คนรัก หรือสมาชิกในครอบครัว ฯลฯ (อย่างไรก็ตามข้อสังเกตนี้ไม่ได้จำกัดข้อเท็จจริงอื่นที่อาจเกิดขึ้น เช่น Femicide สามารถเกิดขึ้นจากคนแปลกหน้าได้เช่นกัน) จากสถิติดังกล่าว เราสามารถกล่าวโดยเฉลี่ยได้ว่า ผู้หญิงหรือเด็กหญิงมากกว่า 133 คนถูกฆาตกรรม “ทุกวัน” โดยคนรัก หรือแม้แต่คนในครอบครัวของพวกเธอเอง (UNODC, 2022) ข้อเท็จจริงทางสถิติเบื้องต้นยังพบต่อไปอีกว่า ทวีปแอฟริกาเป็นทวีปที่มีอัตราสถิติของ Femicide เป็นอันดับหนึ่งของโลก ลองรงมาคือทวีปเอเชีย ทวีปอเมริกา ทวีปยุโรป และทวีปโอเชเนียตามลำดับ (UNODC, 2022)
ตัวอย่างความน่าสะพรึง/ข่าวเกี่ยวกับ Femicide ที่น่าสนใจทั่วมุมโลก:
ทวีป Africa
ทวีป America
ทวีป Europe
ทวีป Asia
หญิงสาวคนหนึ่งในเดลี ถูกฆ่ารัดคอและถูกแยกชิ้นส่วนร่างกายโดยคนรักที่อาศัยร่วมกันกับเธอ ชิ้นส่วนของเธอกระจัดกระจายไปทั่วเมืองหลวงด้วยน้ำมือของเขา เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นไม่นานหลังจากการสังหารเด็กสาวอายุ 19 ปีในรัฐฌาร์ขัณฑ์ เธอถูกเผาจนตายบนเตียงโดยสตอล์กเกอร์ เหตุการณ์ดังกล่าวนำมาซึ่งความโศกเศร้ามากมายและจุดประกายให้ผู้คนจํานวนมากออกมาประท้วงตามท้องถนน
ประเทศไทยเองก็เป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีปัญหาเรื่องความรุนแรงทางเพศในลักษณะนี้เช่นเดียวกับประเทศอื่น ๆ โดยกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กระทรวงพม. รายงานว่า “ปี 2565 ในไตรมาสแรกของปี จำนวนความรุนแรงในครอบครัวสูงถึง 667 ราย ซึ่งเพิ่มขึ้นสูงที่สุดในรอบ 5 ปี โดยผู้ถูกกระทำเป็นเพศหญิง 81.9% ยังไม่นับข้อมูลที่ไม่อาจสำรวจได้ หรือกรณีที่ผู้หญิงไม่กล้าเปิดเผยการถูกกระทำความรุนแรง จนนำไปสู่การบาดเจ็บ การทำร้ายตนเอง การฆ่าตัวตาย และการถูกฆ่าตายในที่สุด”
ถึงแม้ว่าหลายภาคส่วนจะพยายามผลักดันให้เห็นถึงความสำคัญของปัญหา ความรุนแรงทางเพศนี้มากน้อยเพียงใดก็ตาม แต่ปัจจุบันก็ยังปฏิเสธไม่ได้ว่า Femicide เป็นสิ่งที่ยังไม่ถูกมองเห็นสังคมปิตาธิปไตยในไทย กล่าวคือ การฆ่าเพราะความเป็นหญิงหรือเด็กหญิงก็ยังคงถูกพิจารณาว่าเป็น Homicide และไม่ได้เจาะไปถึงปัญหาที่แท้จริง นั่นคือ ความรุนแรงด้วยเหตุแห่งเพศในรูปแบบที่ร้ายแรงที่สุด ซึ่งหากสังคมโดยรวมยังไม่สามารถทำลายปราการมายาคติหลายประการ เช่น ความไม่เท่าเทียมทางเพศในทางความเป็นจริง (de facto) หรือ Stereotyped Gender Roles อันปรากฎอยู่ทั่วภูมิภาคได้ มายาคติเหล่านี้กำลังบดบังทำให้ประชาชนไม่สามารถรับรู้ถึงความสำคัญและความร้ายแรงของความรุนแรงที่กำลังดำเนินอยู่อย่างเงียบ ๆ
ผู้หญิงและเด็กหญิงสมควรได้รับความปลอดภัยในชีวิตอันเป็นสิทธิที่ไม่สามารถพรากไปจากพวกเขาได้ ดังนั้น รัฐจึงมีหน้าที่เป็นตัวแปรหลักในการร่วมมือกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นในระดับระหว่างประเทศ ระดับท้องถิ่น หรือ ความร่วมมือระหว่างรัฐ เอกชน และ NGOs เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงจากรากฐาน ไปสู่การออกเป็นนโยบาย ฯลฯ เพื่อทำให้แน่ใจว่าทุกคนสามารถใช้ชีวิตอยู่ในสังคมโดยปราศจากความกลัว และสร้างความยั่งยืนให้กับการป้องกันการเกิด Femicide ในอนาคตสืบต่อไป
การสร้างความเข้าใจและตระหนักรู้ถึงปัญหาความรุนแรงด้วยเหตุแห่งเพศในแต่ละรูปแบบ เป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการเปลี่ยนแปลงไปสู่สังคมที่ปราศจากความรุนแรง SHero Thailand ขอชวนทุกคนให้ร่วมกันเผยแพร่ข้อมูลความรู้เกี่ยวกับความรุนแรงด้วยเหตุแห่งเพศ เพื่อให้วัฒนธรรมเหล่านี้หมดไปในรุ่นของเรานอกจากการป้องกันปัญหาความรุนแรงด้วยเหตุแห่งเพศ ผ่านการเผยแพร่องค์ความรู้ พวกเรายังขับเคลื่อนกันอย่างเต็มที่เพื่อกลับมาเปิดให้คำปรึกษากฎหมายแก่ผู้เสียหายจากความรุนแรงด้วยเหตุแห่งเพศที่มีประสิทธิภาพโดยเร็ว
สำหรับผู้ที่สนใจบริจาคเงินเพื่อสนับสนุนการทำงานของ SHero Thailand ในการให้ความช่วยเหลือด้านกฎหมายแก่ผู้เสียหายจากความรุนแรงด้วยเหตุแห่งเพศ ตอนนี้ เราเปิดรับบริจาคอยู่ผ่านช่องทางเทใจ โดยสามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติม และบริจาคได้ที่ https://taejai.com/th/d/shero_ot/
Reference
Corradi, C., Marcuello-Servós, C., Boira, S., & Weil, S. (2016). Theories of femicide and their significance for social research. Current Sociology, 64(7), 975–995. doi:10.1177/0011392115622256
Thank you for visiting SHero Thailand.
As we mark our 9th year as a 100% volunteer-run organization, we have reached our operational limits. We’re actively seeking additional resources to ensure sustainability and are currently focusing on supporting our existing clients.
At this time, we are unable to offer active responses or accept new legal consultation requests due to our limited capacity.
In Case of Emergencies:
Thai Police: Call 191
Tourist Police: Call 1155 (available 24/7 and offer English-speaking support)
For Further Assistance:
Women and Men Progressive Movement
Email: info@wmp.or.th
Phone: 02-513-2889
Website: https://www.wmp.or.th/contact
We sincerely appreciate your understanding and are committed to resuming our services as soon as possible.
Warm regards,
SHero Team