Acquaintance Rape : เมื่อการข่มขืนไม่ใช่ภัยจากคนไกลตัว
1. ‘การข่มขืนโดยคนรู้จัก (Acquaintance Rape)’ คืออะไร?
การข่มขืนโดยคนรู้จัก หรือ Acquaintance Rape คือ การบีบบังคับไม่ว่าจะเป็นทางตรงหรือทางอ้อม มีการใช้กำลังทางกาย หรือวาจาเพื่อให้ผู้ถูกกระทำมีเพศสัมพันธ์ด้วย โดยผู้กระทำจะเป็นคนรู้จัก เช่น เพื่อน คนรัก ครู เพื่อนร่วมงาน ฯลฯ
ซึ่งในการบังคับให้มีเพศสัมพันธ์อาจมีการใช้ความรุนแรง การกดดันทางคำพูด การใช้แอลกอฮอลล์และสารเสพติด รวมไปถึงการใช้อำนาจเหนือในความสัมพันธ์เพื่อหว่านล้อมให้อีกฝ่ายมีเพศสัมพันธ์ด้วย
โดยคำว่า Acquaintance Rape นั้น เป็นคำที่มีขึ้นเพื่ออธิบายการข่มขืนจากคนรู้จัก และลบภาพจำที่ว่าความรุนแรงทางเพศมักเกิดจากคนแปลกหน้า
เพราะในความเป็นจริงแล้ว ผู้ถูกกระทำในหลายกรณีรู้จักกับผู้ข่มขืนซึ่งอาจเป็นได้ทั้งในฐานะคู่รัก และในฐานะอื่นๆ เช่น ครู-นักเรียน เจ้านาย-ลูกจ้าง เพื่อน ฯลฯ อย่างเช่นในงานวิจัยจาก Glasgow University ก็พบว่า จากการศึกษากลุ่มตัวอย่างผู้หญิงจำนวน 991 คนในสกอตแลนด์ ในจำนวนนี้มีถึง 91% ที่เผชิญกับความรุนแรงทางเพศโดยคนรู้จัก นอกจากนี้ การใช้คำว่า ‘rape’ ยังชี้ให้เห็นอีกว่า ถ้าหากไม่มีการยินยอมพร้อมใจแล้ว ไม่ว่าจะเป็นคนรู้จักหรือไม่ ความสัมพันธ์ทางเพศนั้นก็ยังคงเป็นการข่มขืน
2. ประเภทอื่นๆ ของ Acquaintance Rape
a. Date Rape : Date Rape หมายถึง การข่มขืนที่เกิดขึ้นในความสัมพันธ์แบบคู่รัก ซึ่งในที่นี่หมายได้หมายความต้องตกลงปลงใจเป็นแฟนกันแล้ว จึงจะนับว่าเป็น Date Rape เสมอไป แต่ยังรวมไปถึงระหว่างการเดทด้วย
i. ยิ่งไปกว่านั้น การข่มขืนไม่ได้นับเพียงแค่การขืนใจเพื่อให้อีกฝ่ายมีเพศสัมพันธ์แต่ยังรวมไปถึง Stealthing หรือการแอบถอดถุงยางอนามัยขนะมีเซ็กส์ด้วย โดยถึงแม้ว่าแต่ละฝ่ายจะยินยอมที่จะมีเพศสัมพันธ์แล้ว แต่การที่ฝ่ายหนึ่งจงใจทำให้ถุงยางชำรุด หรือลักลอบถอดถุงยางขณะที่มีเซ็กส์โดยไม่ได้รับการยินยอมจากอีกฝ่ายนั้นก็ถือว่าเป็นการข่มขืนอย่างชัดเจน
b. Marital Rape : Marital Rape หมายถึงการข่มขืนโดยคู่สมรส โดยในอดีตสังคมมักมองว่าถ้าหากแต่งงานกันแล้ว การถามความยินยอมก็ไม่ใช่สิ่งจำเป็น และผู้หญิงมีหน้าที่ต้องมีเพศสัมพันธ์กับสามีเพราะถือเป็นหน้าที่ของภรรยา
i. สำหรับในกรณีประเทศไทยเอง มีการกำหนดให้การข่มขืนระหว่างสามีภรรยา เป็นความผิดตามกฎหมาย ตั้งแต่การแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 ในปี 2550 โดยจากเดิมที่ระบุว่า “ผู้ใดข่มขืนกระทำชำเราหญิงซึ่งมิใช่ภรรยาของตนโดยขู่เข็ญ” ไปเป็น “ผู้ใดข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่นโดยขู่เข็ญ” ซึ่งส่งผลให้การตีความเปลี่ยนไป จากเดิมที่กำหนดให้ผู้หญิงเป็นผู้ถูกกระทำ เปลี่ยนเป็น ไม่ว่าเพศใดก็สามารถเป็นผู้กระทำหรือเป็นผู้เสียหายในความผิดนี้ได้ นอกจากนี้ยังเป็นการกำหนดให้การข่มขืนโดยคู่สมรสเป็นความผิด จากเดิมที่กำหนดให้การข่มขืนคือการกระทำชำเราผู้อื่นซึ่งไม่ใช่ภรรยาของตน
3. การข่มขืนโดยคนรู้จักกับ Victim Blaming
สิ่งที่ตามมาหลังจากที่สังคมเห็นว่าผู้ถูกกระทำและผู้กระทำรู้จักกันก็คือ การตั้งคำถามกับเหตุการณ์ และการกล่าวโทษผู้ถูกกระทำ (Victim Blaming) ซึ่งคือการที่ผู้เสียหายถูกกล่าวโทษว่ามีส่วนหรือเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดความรุนแรงแก่ตนเอง โดยเราสามารถเห็นได้ว่าการกล่าวโทษผู้ถูกกระทำมักทำผ่านการตั้งคำถามเช่น “ทำไมไปเที่ยวกับเขา” “ทำไมไปที่ห้องเขา” “แต่งตัวโป๊หรือเปล่า” และอื่นๆ อีกมากมาย
โดยสาเหตุที่สังคมชอบตั้งคำถามเหล่านี้ส่วนหนึ่งมาจากความเชื่อที่ว่าการแก้ปัญหาสามารถเริ่มต้นได้ที่ตัวเรา กล่าวคือ เรา ในฐานะผู้ถูกกระทำก็สามารถลดความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดเหตุการณ์เหล่านี้ได้ และจึงเป็นหน้าที่ของเราที่ไม่เอาตัวเองไปอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงที่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายสามารถลงมือได้
แต่ในความเป็นจริงแล้วการตั้งคำถามและความเชื่อนี้กลับเป็นการผลักความผิดไปที่ผู้ถูกกระทำ อีกทั้งยังลดทอนความรุนแรงและความผิดของผู้กระทำอีกด้วย ซึ่งเป็นการผลิตซ้ำค่านิยมในระบอบปิตาธิปไตย (Patriarchy) ที่ให้คุณค่ากับเสียงของผู้ชาย และลดทอนเสียงของผู้ถูกกระทำซึ่งมักเป็นผู้หญิง
การล่วงละเมิดจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อผู้กระทำตัดสินใจทำสิ่งนั้น ความรุนแรงที่เกิดขึ้นเป็นความผิดของผู้ใช้ความรุนแรง ปัจจัยอื่นๆ อย่างเช่น เสื้อผ้าที่สวมใส่ การออกไปเที่ยว ความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นคนแปลกหน้า คนรู้จักกัน หรือคู่รัก ถ้าหากขาดการยินยอมที่สมบูรณ์หรือการยินยอมที่ปราศจากการกดดัน บีบบังคับ ขู่เข็ญ ไม่ว่าอย่างไรสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือการล่วงละเมิดอยู่ดี และความรุนแรงที่เกิดขึ้นนั้นย่อมไม่ใช่ความผิดของผู้ถูกกระทำเลยแม้แต่น้อย
——————————————————–
หากคุณหรือคนใกล้ตัวคือผู้ประสบเหตุความรุนแรงด้วยเหตุแห่งเพศ
โทร 1300 ศูนย์ช่วยเหลือสังคม
โทร 1157 ปรึกษาทางกฎหมายสายด่วนอัยการคุ้มครองสิทธิ
กรณีผู้เสียหายอายุต่ำกว่า 18 ปี โทร 1387 สายเด็ก Childline
Thank you for visiting SHero Thailand.
As we mark our 9th year as a 100% volunteer-run organization, we have reached our operational limits. We’re actively seeking additional resources to ensure sustainability and are currently focusing on supporting our existing clients.
At this time, we are unable to offer active responses or accept new legal consultation requests due to our limited capacity.
In Case of Emergencies:
Thai Police: Call 191
Tourist Police: Call 1155 (available 24/7 and offer English-speaking support)
For Further Assistance:
Women and Men Progressive Movement
Email: info@wmp.or.th
Phone: 02-513-2889
Website: https://www.wmp.or.th/contact
We sincerely appreciate your understanding and are committed to resuming our services as soon as possible.
Warm regards,
SHero Team