เมื่อพิจารณาจากสถิติที่ปรากฎในระบบและข่าวโดยรวมในไทย (ดู คดีข่มขืนในไทย วิกฤติละเมิดทางเพศ.) อาชญากรรมการข่มขืนถือเป็นอาชญากรรมร้ายแรงทางเพศฐานหนึ่งที่ยังคงเป็นปัญหาเรื้อรัง ที่ต้องเร่งอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วนในการจัดการ ในขณะเดียวกัน สถานการณ์วัฒนธรรมการข่มขืน (Rape culture) ในสังคมไทยก็ยังคงเป็นทัศนคติที่น่ากังวล ตั้งแต่ปัญหามุกตลกข่มขืน (rape jokes) ที่ยังคงถูกใช้กันอย่างเป็นเรื่องปกติ จนไปถึงระดับปัญหาอาชญากรรมรุนแรง เช่น การข่มขืนกระทำชำเราที่เกิดขึ้นทุกวัน สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งบ่งชี้ได้เป็นอย่างดีว่าสังคมไทยนั้นมีแนวโน้มอดทน (tolorate) และส่งเสริม (encorage) วัฒนธรรมการข่มขืนดังกล่าว นำไปสู่สภาวะหรือสภาพแวดล้อมที่ไม่เป็นมิตรต่อผู้ประสบความรุนแรง อาทิเช่น การทำให้การล่วงละเมิดทางเพศกลายเป็นเรื่องปกติ (normalisation of sexual misconducts) หรือ การที่สังคมมักจะพุ่งเป้าความไม่เชื่อ (skepticism) ไปยังผู้รอดชีวิต และในขณะเดียวกันสังคมเหล่านี้กลับแสดงความเชื่อถือและเห็นใจในคำพูดของผู้กระทำความผิด เป็นต้น (ดู อดีตรัฐมนตรีข่มขืนดาราสาว. )
ด้วยเหตุนี้ สิ่งที่ตามมาจึงกลายเป็นปัญหาเรื้อรังอย่าง “การกล่าวโทษ” (victim blaming) และ “การตีตรา” (stigmatise) ผู้เสียหาย ที่นอกจากจะส่งผลลดทอนกำลังใจผู้เสียหายแล้วก็ยังส่งผลกับความก้าวหน้าในการดำเนินการทางกฎหมายผ่านกระบวนการยุติธรรม) หรือในการดำเนินการทางกระบวนเยียวยาผู้เสียหาย เช่น ปัญหา “under-reporting” ที่ผู้เสียหาย (ผู้รอดชีวิต) หลายคน หลายกรณีถูกกีดกันหรือโดนบังคับให้ไม่สามารถเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้ เนื่องด้วยกำแพงและหรือแรงที่มองไม่เห็น อย่างเช่นทัศนคติของสังคม (UN Women, UNODC and UNDP 2017) เป็นต้น
ในบทความนี้ SHero Thailand อยากชวนทุกท่านไปทำความรู้จักกับ 10 มายาคติอันเกี่ยวกับการข่มขืนกระทำชำเราหรือที่เรียกว่า Rape Myths ที่ทำหน้าที่เสมือน social barriers อันคอยขัดขวางไม่ให้ผู้เสียหายสามารถเข้าถึงกระบวนการช่วยเหลือเยียวยาได้อย่างโดยง่าย ควบคู่ไปกับการ debunk ลบล้างความเชื่อที่ผิดผ่านการบอกเล่า “ข้อเท็จจริง” (Facts) หรือมุมมองอีกฝั่งหนึ่งของอาชญากรรมข่มขืน
การข่มขืนเป็นสิ่งที่สามารถหลีกเลี่ยงได้ทุกกรณี (Rape is impossible because it is easily avoided by the person’s resistance.):
ที่มาของมายาคติประการแรกนี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเชื่อที่ว่าการข่มขืนนั้นไม่สามารถเกิดขึ้นได้เพราะทุกคนมีทางเลือก (The matter of choices) ในลักษณะระนาบเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นการที่มีพลังอำนาจ (power) หรือ ความสามารถ (capacity) ที่เท่าเทียมกัน เช่น “A สามารถปฏิเสธหรือต่อสู้ขัดขืนหรือวิ่งหนี B ได้ตลอดเวลา” ความเชื่อนี้เป็นทั้งปัญหาความเข้าใจผิด และเป็นการแสดงถึงเจตนาที่มุ่งลดความซับซ้อนของภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของมนุษย์ – ในกรณีส่วนใหญ่ของเหตุการณ์การข่มขืน หากสังคมหรือแม้แต่ตัวผู้กระทำความผิดเองมีความเชื่อที่ว่าผู้รอดชีวิตหรือเหยื่อมีองค์ประกอบของทางเลือกเท่ากับผู้กระทำผิดแล้วนั้น สิ่งที่ตามมาจึงมักจะเป็นการลดทอนบริบทย่อยอื่น ๆ (decontextualise) ทำให้ผู้รอดชีวิตกลายเป็นบุคคลในทางนามธรรม (abstract individual) ไม่มีชีวิต ไม่มีจิตใจ อีกทั้งยังมีแนวโน้มที่จะถูกทำให้ผู้รอดชีวิตกลายเป็นคนผิดบาป กล่าวคือการทำให้พวกเขามีหน้าที่ต้องแบกรับการรับผิดชอบทางศีลธรรมเพียงเพราะสังคมเชื่อว่าการเลือกที่จะยอมจํานนต่อผู้ข่มขืนนั้นเป็นสิ่งที่ผิดไปจากหลักการทางความอิสระ (concept of autonomy) ที่ตนเชื่อ (Schwendinger and Schwendinger 1974; Reynolds 2015)
ในความเป็นจริงนั้น ไม่ใช่ทุกคนหรือทุกกรณีที่ทุกคนจะสามารถแสดงความเป็น free agent หรือมีความกล้าหาญได้ตลอดเวลา หลาย ๆ กรณีได้ถูกพิสูจน์หลายครั้งแล้วว่าผู้รอดชีวิตไม่สามารถขยับตัวได้เลยถึงแม้ว่าพวกเค้าจะต้องการก็ตาม เนื่องจากร่างกายและสมองถูกแช่แข็งเพราะความกลัว (ดู The 5 Fs: fight, flight, freeze, flop and friend | Rape Crisis England & Wales and Paralyzed by Fear: Why Many Rape Victims Don’t Resist | Psychology Today) หรือในกรณีที่ถึงแม้ว่าจะไม่ได้มีการแสดงออกถึงอันตรายทางกายภาพอย่างชัดแจ้ง เช่น การบีบบังคับให้มีความสัมพันธ์ทางเพศ (sexual coercion) ก็ยังมีหลายปัจจัย เช่น สภาวะอำนาจที่ไม่เท่ากัน (power imbalance) ระหว่างผู้กระทำและผู้ถูกกระทำ ไม่ว่าจะเป็นอำนาจทางกาย อำนาจทางสังคม อำนาจทางเศรษฐกิจ ฯลฯ ที่สามารถทำให้ผู้ถูกกระทำจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องยอมจำนนเพื่อเอาตัวรอด หรือต้องการรักษาความสัมพันธ์โดยรวมเอาไว้เพราะหลายปัญหาปัจจัย
การข่มขืนเกิดขึ้นได้กับกลุ่มคนบางประเภทเท่านั้น:
เมื่อพูดถึงคดีข่มขืนกระทำชำเรา คนกลุ่มแรกที่จะมักถูกพูดถึงในแง่ของการเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของอาชญากรรมมักจะเป็นกลุ่มเปราะบางอย่างผู้หญิง (WHO 2021) ในความเป็นหญิงนั้น ยังมีการถูกเลือกปฏิบัติและถูกจัดกลุ่มจากสังคมในการเป็นกลุ่มเป้าหมายของอาชญากรรมข่มขืนอีกทอดหนึ่ง กล่าวคือ หากเป็นผู้หญิงที่ดีที่ปฏิบัติตามขนบธรรมเนียมของสังคมแบบปิตาธิปไตยรักต่างเพศ (Heteropatriarchy) ก็จะไม่ถูกข่มขืนกระทำชำเรา เพราะพวกเขาไม่ได้ “นำตัวเองหรือประพฤติตนให้กลายเป็นเป้าของการข่มขืน” ในขณะเดียวกันผู้หญิงที่มีภาพลักษณ์ขัดแย้งกับกรอบขนบความเป็น “ผู้หญิงที่ดี” ดังกล่าวจะถูกข่มขืน เพราะ “ทำตัวเอง” – ตัวอย่างที่พบเห็นได้บ่อยในแวดวงสังคมที่เป็นตัวแปรทำให้ผู้หญิงกลุ่มนี้ถูกข่มขืนตามมายาคตินี้ (Larcombe 2002) เช่น
“การข่มขืนเกิดขึ้นเพราะผู้หญิงแต่งตัวเย้ายวน”
“ผู้หญิงที่ถูกข่มขืนมักจะเป็นคนที่มีพฤติกรรมไม่ดี”
ความเชื่อเหล่านี้เป็นความเชื่อที่ผิด เพราะในความเป็นจริง “ทุกคน” สามารถเป็นเป้าหมายของการข่มขืนได้เสมอ ได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะแต่งตัวเรียบร้อยหรือจะปฏิบัติตัวตามทำนองคลองธรรม ไม่ว่าจะเป็นเพศใด เชื้อชาติใด สีผิวใด หรือมีสถานะทางสังคมเช่นใดก็ตาม (Brownmiller 1975) ดังนั้นเท่ากับว่าผู้ชายหรือคนเพศหลากหลายก็สามารถตกเป็นเป้าหมายของอาชญากรรมทางเพศได้เช่นกัน (Walfield 2018b)
อนึ่ง การแต่งตัวหรือการปฏิบัติตัวของผู้รอดชีวิตไม่ควรถูกจัดว่าเป็นสิ่งที่กระตุ้นให้เกิดการข่มขืน (ดู What were you wearing? UN exhibit demands justice for survivors of sexual violence | Spotlight Initiative) เพราะการเพ่งเล็งไปที่การแต่งตัวหรือการปฏิบัติตัวของผู้รอดชีวิตนั้นก่อให้เกิดการตำหนิในตัวตนของผู้รอดชีวิตโดยไม่จำเป็นอย่างยิ่ง (victim blaming) นอกจากนี้ ยังเป็นการเบี่ยงเบนความสนใจไปจากข้อเท็จจริงที่ว่าผู้กระทำเป็นผู้ที่ละเมิด autonomy ของผู้ถูกกระทำ ซึ่งเป็นสิ่งที่นำไปสู่การลดทอนความเชื่อถือในคำบอกเล่า (credential) ของผู้ถูกกระทำโดยการใช้ประโยชน์จากกรอบ มาตรฐานที่ล้าหลังและเป็นพิษของสังคมปิตาธิปไตย “Sexual assault is indiscriminate. It reaches every part of society” (NASA Aerospace Engineer and assault survivor, Bryan Robles).
ความต้องการทางเพศเป็นแรงจูงใจหลักเพียงอย่างเดียวในการก่อเหตุ:
มายาคตินี้ทำให้การข่มขืนเป็นเพียงเรื่องของการมีเพศสัมพันธ์และทำให้เกิดการมองข้ามมุมมองอื่น อย่างเช่นเรื่องอำนาจ ความโกรธ และความต้องการครอบงำผู้ถูกกระทำ มีหลายกรณีที่การข่มขืนไม่ได้เกิดขึ้นจากความต้องการทางเพศ แต่เป็นความต้องการที่จะทำโทษและหรือการแสดงความครอบงำ (“rape that is motivated by hostility instead of sex”) เช่นกรณีการข่มขืนระหว่างช่วงสภาวะสงคราม หรือการข่มขืนระหว่างผู้ต้องขัง ฯลฯ (Brownmiller 1975)
ผู้ก่ออาชญากรรมมักเป็นคนแปลกหน้า:
มายาคตินี้เป็นมายาคติที่แทบจะเป็นอุทาหรณ์สอนใจที่ทุกครอบครัวสอนให้แก่ลูกหลาน โดยเฉพาะลูกผู้หญิง ที่มาของภาพจำดังกล่าวอาจจะมีที่มา ๆ จากละครน้ำเน่าหลังข่าว นิยาย หรือ สื่ออื่น ๆ ที่มักจะสร้างภาพจำให้ผู้กระทำความผิดเป็นคนแปลกหน้าที่ผู้ถูกกระทำไม่รู้จักกันมาก่อน โดยการเล่าเรื่องหลัก ๆ ที่มักจะพบในมายาคตินี้มักจะเป็นเรื่องราวในทำนองเช่น เหตุเกิดในเวลากลางคืน ณ สถานที่เปลี่ยวผู้คน ผู้ก่อเหตุกระโจนออกมาจากมุมมืด เป็นต้น (Scheppele 1987)
มายาคติดังกล่าวมักถูกจัดอยู่ในกลุ่ม “การข่มขืนที่แท้จริง” (“real rape”) อันตรงกันข้ามกับการข่มขืนระหว่างคนรู้จักหรือคู่รัก กล่าวคือเป็นการข่มขืนที่มักจะมีความรุนแรงและประกอบไปด้วยองค์ประกอบแห่งความสะเทือนขวัญทางอารมณ์ เมื่อฟังแล้วความเห็นใจสามารถเกิดขึ้นได้ทันที เพราะอย่างไรก็ดีความเป็นคนแปลกหน้าและความเป็นคนอื่นมักจะให้ความรู้สึกของความเป็นปรปักษ์ได้ง่ายมากกว่าการถูกทำร้ายข่มขืนกระทำชำเราโดยคนใกล้ตัว ประกอบกับในแง่ของการเล่าเรื่อง การสืบพยาน หรือการออกข่าว การถูกข่มขืนโดนคนแปลกหน้ามักจะเป็นเรื่องราวที่ฟังดูน่าเชื่อถือเพราะมีองค์ประกอบของความรุนแรงที่ครบถ้วนมากพอที่จะเชื่อว่าตัวผู้ถูกกระทำนั้นไม่ได้โกหก และเพราะส่วนหนึ่งสังคมไทยยังคงมีความเชื่อที่ว่า “หากมีมูลความจริงก็คงจะไม่กล้าเปิดเผยแจ้งความว่าตนได้ถูกข่มขืนกระทำชำเรา เพราะเป็นเรื่องที่น่าอับอาย” (คำพิพากษาฎีกาที่ 9559/2542)
อย่างไรก็ตามในความเป็นจริง อาชญากรรมการข่มขืนกระทำชำเรานั้นเกิดขึ้นได้จากทั้งคนแปลกหน้าและคนใกล้ตัว ไม่ว่าจะเป็นคนรัก บุพการี ญาติ สามี เพื่อน เพื่อนร่วมงาน ครูบาอาจารย์ ฯลฯ ในกรณีของประเทศไทยองค์กรย่อยของ UN อย่าง UNWOMEN และ UNDP ได้เปิดเผยสถิติผ่านรายงานผลศึกษาคดีข่มขืนในไทย-เวียดนาม (2017) ว่า “ผู้เสียหายร้อยละ 91 ให้การว่ารู้จักกับผู้ต้องสงสัย” ดังนั้นการด่วนตัดสินว่าการข่มขืนสามารถถูกกระทำโดยคนแปลกหน้าเพียงอย่างเดียวนั้นย่อมส่งผลทำให้ผู้เสียหายที่ถูกกระทำโดยคนใกล้ตัว และอาจจะไร้หลักฐานที่สามารถพิสูจน์ได้ ถูกลดทอนและถูกกีดกันออกจากการเข้าถึงกระบวยการยุติธรรมและการเยียวยา
ทุกการข่มขืนมักมีการใช้ความรุนแรงทางกายภาพและหรือมีการใช้อาวุธ:
มายาคตินี้ส่วนหนึ่งอาจเป็นผลต่อเนื่องมาจากความเชื่อที่ได้รับอิทธิพลมาจากการปลูกฝังภาพจำผิด ๆ ในทำนองเดียวกันกับมายาคติก่อนหน้า ไม่ว่าจะเป็นผลมาจากสื่อหรือตัวมายาคติ “การข่มขืนที่แท้จริง”ก็ตาม ทั้งนี้ ตัวลักษณะของกฎหมายและวิธีการพิจารณาคดีที่เต็มไปด้วยอคติเองก็ส่งผลทำให้ความเชื่อดังกล่าวนี้เช่นกัน อาทิเช่น การคาดหวังและการพุ่งความสนใจไปที่การทำร้ายร่างกาย ร่องรอยของการขัดขืนหรือการถูกทารุณ ฯลฯ อันมีผลสอดคล้องโดยตรงกับการให้น้ำหนักกับพยานหลักฐานในการพิจารณาคดีทั้งในชั้นสอบสวนและในชั้นศาล อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริงการข่มขืนส่วนใหญ่ไม่ได้มีการใช้กำลังความรุนแรงเสมอไป ในขณะเดียวกันหากมี (ท่าทีของ) การใช้ความรุนแรงจริง ความรุนแรงเหล่านั้นก็มักจะไม่ได้เป็นความรุนแรงถึงขนาดที่จะเป็นเหตุฉกรรจ์ เนื่องจากบ่อยครั้งที่ผู้เสียหายมักจะป้องกันไม่ให้เกิดการทำความรุนแรงโดยการจำยอมเนื่องจากความกลัวที่จะได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต (ถูกฆ่าเนื่องจากขัดขืน) นอกจากนี้ปฏิกริยาดังกล่าวอาจเกิดขึ้นจากการ freeze ก็ได้เช่นกัน
การข่มขืนมักปรากฎร่องรอยบาดแผลที่ชัดเจน:
มายาคตินี้เป็นผลสืบเนื่องโดยตรงมาจากความเชื่อก่อนหน้าที่ว่า ทุกการข่มขืนมักมีการใช้ความรุนแรงทางกายภาพและหรือมีการใช้อาวุธ เมื่อผู้คนติดภาพจำดังกล่าว ผลที่ตามมาก็ย่อมเป็นการแสดงความหวังที่ว่าตามเนื้อตัวร่างกายของผู้ถูกกระทำนั้นจะต้องมีบาดแผลที่เด่นชัดตามไปด้วย มีหลายกรณีที่ศาลหรือตำรวจใช้ร่องรอยของบาดแผลในการตัดสินว่าผู้เสียหายมีการขัดขืน ทำให้การพิจารณาเรื่องบาดแผลนั้นกลายเป็นบรรทัดฐานสำคัญของกระบวนการยุติธรรมไทยในการตามหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการข่มขืน (Asanasak 2021)
ความรุนแรงของบาดแผลมีส่วนสัมพันธ์กับความเชื่อถือในการยืนยัน ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องของการข่มขืน หากบาดแผลมีความรุนแรง เฉพาะอย่างยิ่งถ้าหญิงถึงแก่ชีวิตก็ไม่จำเป็นต้องมีข้อพิสูจน์อื่นใดเกี่ยวกับประเด็นเรื่องความยินยอม (สมชาย ปรีชาศิลปกุล: เพศวิถีในคำพิพากษา)
เป็นเรื่องจริงที่น่าเศร้าที่ประเด็นความยินยอมในสายตาของศาลและตำรวจถูกลดทอนทำให้เหลือเพียงองค์ประกอบที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ทั้งที่ในความเป็นจริง ผู้ถูกข่มขืนอาจจะไม่มีบาดแผลทางกายปรากฎให้เห็นเลยก็ได้ ในทางสถิติได้มีการคาดการณ์ประมาณเอาไว้แล้วว่า มีเพียง 1 ใน 3 ของผู้ถูกกระทำเท่านั้นที่มีร่องรอยบาดแผลที่ชัดเจนปรากฎให้เห็น และการข่มขืนส่วนใหญ่ไม่ได้มีการใช้กำลังรุนแรงหรือใช้อาวุธเข้ามาเกี่ยวข้อง (WHO 2003) ดังนั้น ถึงแม้ว่าผู้ข่มขืนจะไม่มีบาดแผลเลยก็ไม่ควรด่วนสรุปตัดสินว่าพวกเขาไม่ได้ถูกข่มขืน
การพูดคำว่า “ไม่” (การปฏิเสธ ระหว่างการมีเพศสัมพันธ์) หมายความว่า “ใช่” (การยินยอม):
การแสดงความยินยอมในการมีเพศสัมพันธ์เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ดังนั้นหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแสดงท่าทีถึงความไม่สบายใจและหรือได้ปฏิเสธโดยตรงว่า “ไม่” หรือ “หยุด” นั้นย่อมหมายความว่าอีกฝ่ายจะต้องหยุดกิจกรรมทั้งหมดโดยทันที เพราะหลักพื้นฐานของการยินยอมนั้นคือ “ไม่ใช่เพียงคำตกลงที่เอ่ยออกมาครั้งเดียว และไม่ใช่การยอมหรือจำยอมของฝ่ายถูกกระทำ (passive) ต่อฝ่ายกระทำ (active) แต่เป็นการสื่อสารต่อเนื่องและการใส่ใจกันและกันในเพศสัมพันธ์ เพื่อให้ทุกฝ่ายได้รับในสิ่งที่ต้องการ และไม่รู้สึกว่าถูกละเมิดในจังหวะที่อ่อนไหว” (อ่านต่อได้ที่: ความยินยอม (Consent) คืออะไร (sherothailand.org))
“women are seductresses, women mean “yes” when they say “no,” most women eventually relax and enjoy it, nice girls don’t get raped, and it was only a minor wrongdoing.”
จากตัวอย่างในโควทข้อความข้างต้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของผู้หญิง มายาคติที่ว่า “ไม่” เท่ากับ “ได้หรือใช่” นั้นส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากความเกลียดชังผู้หญิง (misogyny) การมองผู้หญิงเป็น sex object และ วัฒนธรรมการข่มขืน (rape culture) ที่คอยบ่มเพาะให้ผู้กระทำความผิดมีความเชื่อที่ว่าตนนั้นมีอำนาจมากพอที่จะโน้มน้าวให้ผู้อื่นมีเพศสัมพันธ์กับตนได้
การข่มขืนไม่สามารถเกิดขึ้นได้ระหว่างคู่สมรสหรือคู่รัก:
ตามมุมมองเชิงประวัติศาสตร์กฎหมายในอดีต การข่มขืนระหว่างคู่สมรสนั้นไม่ถือว่าเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย โดยสาเหตุส่วนหนึ่งเป็นเพราะหลักคิดที่ว่าคู่สมรสโดยเฉพาะฝ่ายหญิงนั้นได้กลายเป็นสมบัติของฝ่ายชาย ส่วนการแต่งงานก็ถูกทำให้กลายเป็นสัญญาและสัญลักษณ์ของ “การยินยอม” ในการร่วมประเวณีระหว่างชายหญิงตลอดระยะเวลาของการแต่งงาน ดังนั้นความยินยอมในระหว่างการมีเพศสัมพันธ์จึงไม่เคยเป็นสาระสำคัญในสายตาของกฎหมายที่ให้คุณค่าผู้ชายมากกว่า เป็นเรื่องน่าเศร้าที่กฎหมายของหลายประเทศรวมถึงประเทศไทยเองก็เคยยึดถือมุมมองความคิดเช่นนี้ แต่ด้วยความพยายามความของกลุ่มสตรีนิยมที่ผลักดันและต่อต้านให้ความคิดชายเป็นใหญ่ที่ว่า “ภรรยาคือสมบัติของสามี” “ผู้หญิงคือสมบัติของผู้ชาย” ค่อย ๆ ถูกทำลายลงไป ส่งผลให้ในปัจจุบันตัวระบบกฎหมายอาญาของหลาย ๆ รัฐได้ทำลายหลักคิดพื้นฐานนี้และตัดสินให้การข่มขืนระหว่างคู่สมรสนั้นผิดกฎหมายในที่สุด
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ในตัวกฎหมายลายลักษณ์อักษรจะทำให้การข่มขืนระหว่างสามีภรรยากลายเป็นความผิดทางอาญา แต่เมื่อบรรทัดฐานที่ถูกควบคุมโดยปิตาธิปไตยดังกล่าวถูกปฏิบัติและถูกปล่อยปละละเลยมาอย่างช้านาน มายาคติที่ว่าคู่สมรสหรือคู่รักนั้นมีสิทธิในเนื้อตัวร่างกายของคู่ครองอย่างสิ้นเชิงนั้นก็ยังเป็นเรื่องที่สังคมยังคงต้องคอยร่วมกันขจัดให้หมดไป ด้วยการเน้นย้ำว่าประเด็นที่สำคัญที่สุดของการมีเพศสัมพันธ์นั้นไม่ว่าจะเกิดขึ้นภายใต้ความสัมพันธ์รูปแบบใดก็ตาม คือ “การเคารพความยินยอม” ณ ขณะนั้นของทุกฝ่าย และการข่มขืนสามารถเกิดขึ้นได้ระหว่างคู่รักหรือคู่สมรสอย่างแน่นอนหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ให้ความยินยอมอย่างแท้จริง
ผู้ขายบริการทางเพศ (sex workers) ไม่สามารถถูกข่มขืนได้:
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าผู้ขายบริการทางเพศนั้นถือเป็นกลุ่มที่มีการถูกเลือกปฏิบัติจากสังคมมากที่สุดเนื่องจากหลายสาเหตุปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นการดูแคลนเพราะปัจจัยทางด้านวัฒนธรรม ศาสนา หรือเพศวิถีที่ฉีกจากขนบธรรมเนียม ฯลฯ และเมื่อการมีเพศสัมพันธ์สามารถถูกซื้อขายได้ ไม่ว่าจะถูกหรือผิดกฎหมาย มายาคติที่ว่าการข่มขืนไม่สามารถเกิดขึ้นได้นั้นก็เกิดขึ้นมาจากอุปมานไปเองว่าเมื่อเพศสัมพันธ์เป็นสิ่งที่ซื้อขายตกลงกันได้ การซื้อขายย่อมมอบสิทธิเบ็ดเสร็จเด็ดขาดให้แก่ผู้ซื้อบริการในการทำอะไรก็ตามกับผู้ให้บริการได้ ส่วนตัวสถานะของความเป็น “ผู้ขายบริการทางเพศ” ก็มักถูกคาดหมายโดยอัตโนมัติไปเองว่าพวกเขาจะยินยอมมีเพศสัมพันธ์กับใครก็ได้ ความเชื่อเหล่านี้เป็นสิ่งที่ผิด ไม่ว่าใครก็สามารถตกเป็นเหยื่อของอาชญากรรมข่มขืนได้ รวมถึงผู้ขายบริการทางเพศ เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดในการมีเพศสัมพันธ์ไม่ว่าจะเกิดขึ้นจากการซื้อขายหรือไม่ก็ตามคือการเคารพในความยินยอมและความสบายใจของผู้ขายบริการ จากประเด็นนี้ สิ่งที่น่าเศร้าที่สุดคือมีผู้คนจำนวนมากที่อาศัยความเปราะบางของผู้ขายบริการในการเอาเปรียบทางเพศและนำไปสู่การข่มขืน โดยจากการสำรวจพบว่าผู้ให้บริการจำนวนมากถูกข่มขืนโดยผู้มาใช้บริการ คนรัก หรือตำรวจ
หลังเกิดเหตุผู้เสียหายจะต้องแจ้งความโดยทันที:
ปัญหาเรื่องการแจ้งความถือได้ว่าเป็นเรื่องแรก ๆ ที่ผู้คนมักจะคาดหวังให้ผู้เสียหายมีการตอบสนอง เสมือนว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ควรทำที่สุดอย่างเด็ดขาด นอกจากนี้ในทางการพิจารณาคดี การแจ้งความโดยทันทีสามารถนำไปใช้เป็นหลักฐานประกอบคำตัดสินในส่วนของความน่าเชื่อถือของพยานได้ (เช่น คำพิพากษาฎีกาที่ 627/2543) อย่างไรก็ตาม ความเชื่อและแนวทางการปฏิบัตินี้เป็นสิ่งที่อาจจะถือได้ว่าเป็นความคาดหวังที่เกินจริงและเป็นภาระต่อผู้เสียหายอย่างมาก กล่าวคือในทางปฏิบัติควรมีการคำนึงถึงสภาวะจิตใจของผู้เสียหายเป็นสำคัญ การข่มขืนส่วนใหญ่ไม่ได้มีการแจ้งความในทันทีหรืออาจจะไม่มีการแจ้งความเลยก็ได้ สาเหตุสำคัญนั้นมาจากความกลัวและความกังวลที่อาจจะเกิดจากตัวผู้กระทำหรือการตรีตราจากสังคม เนื่องจากการโทษผู้เสียหายไม่ใช่เรื่องที่ใหม่โดยเฉพาะในสังคมไทยแต่อย่างใด อีกทั้งปัจจัยทางด้านจิตใจบางอย่างก็อาจจะทำให้ผู้ถูกกระทำมองว่าการข่มขืนกระทำชำเรานั้นเป็นเรื่องส่วนตัว หรือมองว่าถึงแม้ว่าแจ้งความไปก็อาจจะไม่ได้รับการช่วยเหลือ หรือตัวผู้ถูกกระทำอาจจะไม่สามารถไปแจ้งความได้ ไม่ว่าจะเป็นเพราะไม่รู้ว่าควรเริ่มจากที่ไหน ฯลฯ นอกจากนี้ สภาวะทางจิตใจ (trauma) หรืออารมณ์ที่ไม่มั่นคงและสภาวะสับสนที่ทำให้ไม่สามารถจำเรื่องราวหรือปะติดปะต่อเรื่องราวได้ทั้งหมด หรืออาการ Freeze ฯลฯ ก็สามารถเป็นปัจจัยที่ส่งผลทำให้พวกเขาไม่สามารถไปแจ้งความได้ในทันทีก็เป็นได้เช่นกัน
เมื่อพิจารณาจากมุมมองที่มีผู้เสียหายเป็นศูนย์กลาง (A survivor-centred approach) คดีข่มขืนกระทำชำเราเป็นอีกหนึ่งลักษณะคดีที่มีความละเอียดอ่อน ซับซ้อน และยากต่อการจัดการเป็นอย่างมาก เนื่องด้วยลักษณะความผิดที่เป็นความผิดที่ไม่เพียงกระทบร่างกาย แต่ยังรวมไปถึงสภาพจิตใจและอารมณ์ของผู้ถูกกระทำ ดังนั้นการจัดการด้วยความระมัดระวังจึงเป็นสิ่งที่ควรกระทำอย่างยิ่ง อย่างไรก็ดีก็ยังปฏิเสธไม่ได้เลยว่าสังคมที่มีอัตราการยอมรับ RMA (Rape Myths Acceptance) สูงอาจส่งผลทำให้ผู้ถูกกระทำไม่สามารถได้รับการช่วยเหลือเยียวยาอย่างที่พวกเค้ามีสิทธิพึงจะได้รับ อย่างเช่น การดำเนินการทางกฎหมายสามารถมีความล่าช้าและซับซ้อนกว่าที่ควรจะเป็นเนื่องจากทัศนคติของพนักงานเจ้าหน้าที่ หรือการได้รับการเกลี่ยกล่อมจากตัวคนใกล้ชิดอย่างครอบครัวของผู้ถูกกระทำ ฯลฯ ดังนั้น เพื่อเป็นการขจัดและช่วยบรรเทาผลกระทบจากวงจรความรุนแรงและวัฒนธรรมการข่มขืน
การทำความเข้าใจเพื่อนำไปสู่การต่อต้าน RMA จึงเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างสังคมที่มีความยุติธรรมและเคารพสิทธิของทุกคนเป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่ารัฐไทยจะมีการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการข่มขืนกระทำชำเราใหม่หลายครั้งเพื่อให้มีความสอดคล้องและครอบคลุมมากขึ้นกับพลวัตของสังคม หรือมีการเพิ่มการบังคับใช้โทษสูงสุด เช่นการประหารชีวิตผู้กระทำผิด อย่างไรก็ตาม หากตัวรัฐยังไม่มีการจัดการกับ RMA อย่างเป็นรูปธรรมทั้งในระดับรัฐหรือภาคส่วนเอกชน การแก้ไขกฎหมายใหม่อีกกี่ครั้งก็ไม่สามารถทำให้ช่องว่างในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมของผู้เสียหายถูกทำลายลงไปได้
10 มายาคติที่ได้ยกตัวอย่างไปข้างต้นยังสามารถส่งผลกระทบในระดับสังคมได้เช่นกัน นั่นก็คือ การเป็นตัวแปรที่หล่อเลี้ยงทำให้วัฒนธรรมข่มขืนยังคงอยู่ได้ เพราะสังคมมีแนวโน้มที่จะยอมรับในมายาคติเกี่ยวกับการข่มขืน (Rape Myths Acceptance (RMA)) กล่าวคือ ผู้คนในสังคมยังคงความเชื่อหรือโอบรับทัศนคติที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับการข่มขืน ซึ่งมักจะนำไปสู่การช่วยปกป้องผู้กระทำความผิดและตำหนิผู้รอดชีวิตจากการข่มขืน สิ่งเหล่านี้จึงกลายเป็นวงจรน่ารังเกียจที่คอยหล่อเลี้ยงและอุ้มชูให้วัฒนธรรมดังกล่าวฝังรากฐานอยู่ในสังคมอย่างเหนียวแน่น
ผู้เขียน พรกนก ชัยเรืองศรี
Edited by SHero Team
—————————————————————————————————————————
สำหรับผู้ที่สนใจบริจาคเงินเพื่อสนับสนุนการทำงานของ SHero Thailand ในการให้ความช่วยเหลือด้านกฎหมายแก่ผู้เสียหายจากความรุนแรงด้วยเหตุแห่งเพศ
ตอนนี้ เราเปิดรับบริจาคอยู่ผ่านช่องทางของ @Taejai โดยสามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติม และบริจาคได้ที่ https://taejai.com/en/project/ots-SHero-fund
—————————————————————————————————————————
บรรณานุกรม
ปรีชญาภรณ์ จันทร์รักษ์ (2551). กระบวนการขับเคลื่อนของสังคมต่อการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 กับการสร้างวาทกรรมเรื่องสิทธิเนื้อตัวร่างกายของผู้หญิง. มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
สมชาย ปรีชาศิลปกุล. เพศวิถีในคำพิพากษา (เชียงใหม่: เกวลีพริ้นติ้ง, 2558
รณกรณ์ บุญมี. ระหว่างความจริงกับความเชื่อ: ผู้หญิงที่กําลังถูกข่มขืนมีปฏิกิริยาอย่างไร. (2560). ประชาไท. https://prachatai.com/journal/2017/07/72466
Bibliography
Asanasak, Suprawee 2021. Rethinking Female Subjectivity in Thai Rape Law from a Transnational Legal Feminist Perspective Faculty of Law, Thammasat University funded by the Research Promotion Committee.
BBC News ไทย. (2022, August 30). ข่มขืน : ทําไมสังคมไทยยังไม่เป็นมิตรต่อผู้เสียหาย กรณีหลานอดีตรัฐมนตรีข่มขืนดาราสาว. https://www.bbc.com/thai/articles/cv2wdg1eyk8o
Burt, Martha R. 1980. Cultural Myths and Supports for Rape. Journal of Personality and Social Psychology 38 (2): 217–30. https://doi.org/10.1037/0022-3514.38.2.217.
Brownmiller, Susan. 1975. Against Our Will: Men, Women, and Rape. New York : Simon and Schuster.
Committee on the Elimination of Discrimination against Women. 3 February 2006. Consideration of Reports Submitted by States Parties under Article 18 of the Convention on the Elimination of All Forms of Discrimination against Women: Concluding Observations of the Committee on the Elimination of Discrimination against Women: Thailand, CEDAW/C/THA/CO/5, United Nations, accessed 28 February 2024. Estrich, Susan. 1987. Real Rape. Harvard University Press.
Hayook, Chatabut. 2022. “Culture of Shame Silences Abuse Victims.” Https://Www.Bangkokpost.Com, May 24, 2022. https://www.bangkokpost.com/opinion/opinion/2315370/culture-of-shame-silences-abuse-victims.
Lertbunchardwong, Kanittha. 2021. “INVESTIGATION OF THE RAPE MYTH AMONG COLLEGE STUDENTS, THAILAND.” July 1, 2021. https://www.tojqi.net/index.php/journal/article/view/2293.
Larcombe, W. The `Ideal’ Victim v Successful Rape Complainants: Not What You Might Expect. Feminist Legal Studies 10, 131–148 (2002). https://doi.org/10.1023/A:1016060424945
Lonsway, Kimberly A., and Louise F. Fitzgerald. 1994. “Rape Myths.” Psychology of Women Quarterly 18 (2): 133–64. https://doi.org/10.1111/j.1471-6402.1994.tb00448.x.
Parsons, Lian, and Lian Parsons. 2020. “How Rape Culture Shapes Whether a Survivor Is Believed.” Harvard Gazette. August 26, 2020. https://news.harvard.edu/gazette/story/2020/08/how-rape-culture-shapes-whether-a-survivor-is-believed/.
Reynolds, P. (2015). Women’s Agency and the Fallacy of Autonomy: The Example of Rape and Sexual Consent. In: Marway, H., Widdows, H. (eds) Women and Violence. Genders and Sexualities in the Social Sciences. Palgrave Macmillan, London. https://doi.org/10.1057/9781137015129_12
Scheppele, Kim Lane (1987) “The Re-Vision of Rape Law (reviewing Real Rape: How the Legal System Victimizes Women Who Say No by Susan Estrich),” University of Chicago Law Review: Vol. 54: Iss. 3, Article 11. Available at: https://chicagounbound.uchicago.edu/uclrev/vol54/iss3/11
SCHWENDINGER, J. R., & SCHWENDINGER, H. (1974). Rape Myths: In Legal, Theoretical, and Everyday Practice. Crime and Social Justice, 1, 18–26. http://www.jstor.org/stable/29765884
Smith, O., & Skinner, T. (2017). How Rape Myths Are Used and Challenged in Rape and Sexual Assault Trials. Social & Legal Studies, 26(4), 441-466. https://doi.org/10.1177/0964663916680130
THE TRIAL OF RAPE: Understanding the criminal justice system response to sexual violence in Thailand and Viet Nam. (2017). UN Women – Asia-Pacific.
Walfield, Scott M. 2018a. “‘Men Cannot Be Raped’: Correlates of Male Rape Myth Acceptance.” Journal of Interpersonal Violence 36 (13–14): 6391–6417. https://doi.org/10.1177/0886260518817777.
Wegner R, Abbey A, Pierce J, Pegram SE, Woerner J. Sexual Assault Perpetrators’ Justifications for Their Actions: Relationships to Rape Supportive Attitudes, Incident Characteristics, and Future Perpetration. Violence Against Women. 2015 Aug;21(8):1018-37. doi: 10.1177/1077801215589380. Epub 2015 Jun 8. PMID: 26056162; PMCID: PMC4491036.
World Health Organization: WHO (2003). Guidelines for medico-legal care for victims of sexual violence.
ข่าว
Thank you for visiting SHero Thailand.
As we mark our 9th year as a 100% volunteer-run organization, we have reached our operational limits. We’re actively seeking additional resources to ensure sustainability and are currently focusing on supporting our existing clients.
At this time, we are unable to offer active responses or accept new legal consultation requests due to our limited capacity.
In Case of Emergencies:
Thai Police: Call 191
Tourist Police: Call 1155 (available 24/7 and offer English-speaking support)
For Further Assistance:
Women and Men Progressive Movement
Email: info@wmp.or.th
Phone: 02-513-2889
Website: https://www.wmp.or.th/contact
We sincerely appreciate your understanding and are committed to resuming our services as soon as possible.
Warm regards,
SHero Team