หลายคนมักปัดผ่านหรือลดทอนความรุนแรงในครอบครัว (Domestic Violence) ว่าเป็นเพียง “การทะเลาะ” หรือ “การกระทบกระทั่ง” กันในความสัมพันธ์ แต่ในความเป็นจริง ความรุนแรงฯ ไม่ใช่เป็นเพียง “แค่” การทะเลาะ และความรุนแรงในครอบครัวก็ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การทำร้ายร่างกาย (Physical Violence) เช่นกัน เพราะบ่อยครั้งเป้าหมายที่แท้จริงของมันคือการครอบงำ (Domination) และ การใช้อำนาจเหนือ (Power Over) สิ่งนี้หมายรวมถึงการใช้อำนาจควบคุม การข่มขู่ การดูหมิ่น การทำให้หวาดกลัว หรือการบงการอย่างแยบยล การกระทำเหล่านี้คือภัยอันตรายเงียบที่ต้องทำความเข้าใจและไม่ควรมองข้าม
ในสหราชอาณาจักร (UK) การบังคับควบคุม (Coercive Control) ถือเป็นความผิดทางอาญา โดยจัดเป็นรูปแบบหนึ่งของความรุนแรงเชิงจิตวิทยา นอกจากนี้ ข้อมูลการวิจัยจาก UK ยังตอกย้ำว่า การบังคับควบคุม คือแกนกลางที่แท้จริงของความรุนแรงในครอบครัว งานวิจัยของ Kelly et al. (2014) ชี้ให้เห็นว่า การบังคับควบคุมนั้นแทบจะแยกไม่ออกจากความรุนแรงในครอบครัว โดยพบว่า 95% ของผู้ถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัว (DV) ต้องเผชิญกับการบังคับควบคุม ในขณะเดียวกัน ข้อมูลการศึกษาจากเมืองลิเวอร์พูล (Barlow et al. 2018) ก็ฉายภาพที่สอดคล้องกันอย่างชัดเจนว่า การบังคับควบคุมนี้มักเกิดขึ้นในความสัมพันธ์คู่รัก อีกทั้งยังมีมิติทางเพศ (Gendered) ประกอบอยู่ด้วย กล่าวคือ:
ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยังมีประเทศอื่นที่กฎหมายให้การยอมรับความรุนแรงในลักษณะของการบังคับควบคุม ตัวอย่างเช่น มาเลเซีย (ผ่าน Domestic Violence Act 1994, ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมในปี 2017) และ ฟิลิปปินส์ (Republic Act 9262, 2004) โดยกฎหมายเหล่านี้มักให้คำนิยามที่ครอบคลุมถึงองค์ประกอบสำคัญของการควบคุม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในมิติของ “ความรุนแรงทางเศรษฐกิจ” (Economic Violence)
สาระสำคัญของการกระทำลักษณะนี้ ได้แก่ ความพยายามของผู้กระทำความรุนแรงที่จะสร้างความเกรงกลัวให้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อใช้ควบคุมชีวิตประจำวันของผู้ถูกกระทำ ซึ่งมักจะก่อให้เกิดเป็นผลกระทบที่มองไม่เห็น แต่ก็มีความรุนแรงต่อตัวผู้ถูกกระทำ อาทิเช่น
ผลกระทบที่ชัดเจนที่สุดจะปรากฏเมื่อผู้เสียหายเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม พวกเขามักที่จะไม่สามารถให้การหรือให้รายละเอียดที่ชัดเจนได้ ที่เป็นเช่นนี้เพราะจิตใจของพวกเขายังไม่สามารถสลัดหลุดออกจากสภาวะที่ถูกควบคุม และยังคงยึดติดอยู่กับโลกความเป็นจริงที่ถูกบิดเบือนที่ผู้กระทำสร้างขึ้น
รูปแบบและกลยุทธ์ของการบังคับควบคุม (Tactics of Coercive Control) ที่สามารถพบได้ในความรุนแรงในครอบครัว
การบังคับควบคุมไม่ใช่เหตุการณ์เดียว แต่เป็นแบบแผนของพฤติกรรมที่ออกแบบมาเพื่อบ่อนทำลายความเป็นอิสระและสร้างความหวาดกลัว โดยมีกลยุทธ์หลักดังนี้
1. การโดดเดี่ยว (Isolation)
2. การควบคุมชีวิตประจำวัน (Micro-management)
3. การบั่นทอนจิตใจและลดทอนคุณค่า (Psychological Abuse & Degradation)
4. การควบคุมทรัพยากร (Control of Resources)
กลยุทธ์เหล่านี้ (ไม่ว่าจะเป็นการโดดเดี่ยว การสอดส่อง การบั่นทอนจิตใจ หรือการควบคุมทรัพยากร) มักจะไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งเดียว แต่มันคือ ระบบ หรือ แบบแผน ที่ทำงานประสานกัน กลยุทธ์เหล่านี้มักถูกใช้พร้อม ๆ กัน หรือ สลับกันไปมา โดยผู้กระทำมักจะมีเป้าหมายที่ชัดเจน คือ การบ่อนทำลายและรื้อถอนความเป็นอิสระ ความมั่นใจ และความเป็นตัวของตัวเองของผู้ถูกกระทำ จนพวกเขารู้สึกเหมือนติดอยู่ในกรงขังที่มองไม่เห็นที่สร้างโดยผู้กระทำ
ตัวอย่างเช่น ผู้กระทำอาจจะควบคุมการเงินไปพร้อม ๆ กับการกดให้ต่ำ/ลดทอนคุณค่าและ ห้ามไม่ให้เจอเพื่อน
ผลลัพธ์ คือผู้ถูกกระทำจะไม่มีทั้งเงิน (ทรัพยากร) ความมั่นใจ (จิตใจ) และที่พึ่งพา (สังคม) ผู้ถูกกระทำจะเข้าสู่สภาวะพึ่งพิง (Dependency) และผู้กระทำมักใช้ข้อได้เปรียบจากการควบคุมดังกล่าวนี้ในการยึดรั้งไม่ให้ผู้กระทำสามารถหนีไปจากความสัมพันธ์และความรุงแรงดังกล่าวได้
วงล้อแห่งอำนาจและการควบคุม (The Power and Control Wheel)
เครื่องมือนี้ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรสำหรับโครงการที่ศาลสั่ง (court-ordered programs) ซึ่งจัดทำขึ้นสำหรับผู้ชายที่ใช้ความรุนแรงต่อคู่รัก (men who batter) โดยมีพื้นฐานมาจาก ข้อมูลเชิงลึก ที่รวบรวมจากประสบการณ์ของผู้หญิงในกลุ่มสนับสนุน ในเมืองดุลูท รัฐมินนิโซตา สหรัฐอเมริกา ในปี 1984 ถึงแม้ว่าเครื่องมือดังกล่าว จะมีความล้าสมัย ในแง่ของการตีพิมพ์ อย่างไรก็ตาม กงล้อนี้ก็ยังสามารถใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากลักษณะของการใช้อำนาจและการควบคุมมันยังเป็นรูปแบบเดิมและไม่ได้มีการพัฒนาที่ก้าวกระโดดมากนัก อีกทั้งยังสามารถนำไปปรับใช้ได้กับทุกสภาพสังคมที่ยังคงมีความรุนแรงในครอบครัว
หากมองให้ลึกลงไป กลไกเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นการสถาปนาระบบการปกครองภายในบ้านผ่านการบงการชีวิต การรื้อถอนความเป็นตัวตน การสร้างการควบคุมที่ฝังในใจ หรือการลดทอนสถานะอีกฝ่ายจนเป็นเพียงสมบัติ (Ownership) ล้วนก่อให้เกิดอันตราย (Harm) ที่ร้ายแรงทั้งสิ้นแก่ผู้ถูกกระทำ ดังจะเห็นได้ว่ากลยุทธ์เหล่านี้คือวงจรที่เสริมแรงซึ่งกันและกัน มันคือการใช้อำนาจเหนือที่มีอยู่ เช่น ความได้เปรียบทางกายภาพ เศรษฐกิจ ความเป็นชาย ฯลฯ เพื่อควบคุมชีวิตของผู้ถูกกระทำ และในขณะเดียวกันก็ใช้การควบคุมนั้นเพื่อสถาปนาอำนาจเหนือในความสัมพันธ์ให้เบ็ดเสร็จยิ่งขึ้น
อนึ่ง “การใช้อำนาจเหนือ” โดยนิยามของมัน คือสภาวะที่ “ความเป็นอิสระ” (Autonomy) ของคนหนึ่งถูกลบล้างจนหมดสิ้น ผ่านการกระทำอย่างเป็นระบบของอีกคนหนึ่ง มันคือการเปลี่ยนมนุษย์ที่มีชีวิตจิตใจ ให้กลายเป็น “วัตถุ” ที่ถูกควบคุมโดยสมบูรณ์ ผลกระทบของมัน นอกจากก่อให้เกิดอันตรายต่อจิตใจแล้ว มันยังส่งผลกระทบต่อสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผู้ถูกกระทำ
…หากสภาวะเช่นนี้ยังไม่ใช่ ความรุนแรง แล้วมันคืออะไร?
อ้างอิง
Thank you for visiting SHero Thailand.
As we mark our 9th year as a 100% volunteer-run organization, we have reached our operational limits. We’re actively seeking additional resources to ensure sustainability and are currently focusing on supporting our existing clients.
At this time, we are unable to offer active responses or accept new legal consultation requests due to our limited capacity.
In Case of Emergencies:
Thai Police: Call 191
Tourist Police: Call 1155 (available 24/7 and offer English-speaking support)
For Further Assistance:
Women and Men Progressive Movement
Email: info@wmp.or.th
Phone: 02-513-2889
Website: https://www.wmp.or.th/contact
We sincerely appreciate your understanding and are committed to resuming our services as soon as possible.
Warm regards,
SHero Team