
การข่มขืนในคู่สมรส (marital rape หรือ spousal rape) ในทางกฎหมายไทย หมายถึงการที่คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้กระทำการทางเพศ (sexual act)– โดยการมีเพศสัมพันธ์ผ่านการใช้อวัยวะเพศสอดใส่– ต่อคู่สมรสอีกฝ่ายโดยปราศจากความยินยอมอย่างแน่ชัดจากอีกฝ่าย รวมถึงการถูกขู่เข็ญด้วยประการใด ๆ การถูกใช้กำลังประทุษร้าย การถูกทำให้อยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ และการหลอกลวงว่าเป็นบุคคลอื่น อนึ่ง การข่มขืนในบริบทของคู่สมรสถือเป็นอีกหนึ่งความรุนแรงทางเพศที่เกิดขึ้นภายในครอบครัว (Domestic Violence - DV) และเป็นความรุนแรงที่เกิดขึ้นจากคนใกล้ชิด (Intimate Partner Violence - IPV)
จุดตัดที่สำคัญที่ทำให้การข่มขืนประเภทนี้มีความเป็นเฉพาะเจาะจงมากขึ้น คือ สถานะของทั้งความเป็นคู่สมรส ความเป็นคู่รัก และความเป็นคนในครอบครัวในทางกฎหมาย โดยในสายตาของรัฐ คู่กรณีทั้งสองฝ่าย คือ “ผู้กระทำความผิด” และ “ผู้ถูกกระทำ” มีความสัมพันธ์ที่แนบชิดกันต่อเบื้องหน้ากฎหมายและสถาบันครอบครัว ส่งผลให้การข่มขืนในบริบทนี้มีความทับซ้อนมากขึ้นทั้งในทางบริบทอำนาจในเชิงความสัมพันธ์ส่วนตัวของบุคคล รวมไปถึงความเป็นสถาบันครอบครัวที่สังคมไทยเคารพยิ่งอีกด้วย จึงกล่าวได้ว่าการข่มขืนในคู่สมรสเป็นอีกหนึ่งปัญหาอาชญากรรมที่นอกจากจะมีลักษณะที่ทับซ้อนกันไปมาตามแต่ละลักษณะของปัจเจกบุคคลและสังคมแล้ว ก็ยังเป็นปัญหาอาชญากรรมที่จัดการแก้ไขปัญหาได้ยากเป็นอย่างยิ่งเพราะสังคมที่เกิดเหตุข่มขืนเหล่านี้เป็นสังคมที่อุปถัมภ์ความชายเป็นใหญ่และเคารพในสถาบันครอบครัวอย่างไม่มีการตั้งคำถามถึงข้อบกพร่องของสถาบัน เพราะฉะนั้น ผลที่ตามมาก็จะยิ่งทวีคูณทั้งความรุนแรงของตัวอาชญากรรมและยังส่งเสริมให้มีความซับซ้อนทางกระบวนการช่วยเหลือผู้เสียหายมากยิ่งขึ้น กล่าวคือ ผู้ถูกกระทำไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใดในสถานะความสัมพันธ์สามารถถูกกระทำซ้ำได้ตลอดเวลา และอีกทั้งยังสามารถถูกกีดกันออกจากระบบยุติธรรมและระบบความช่วยเหลืออีกด้วย
ตัวอย่างของสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผู้เสียหาย/ผู้รอดถูกกีดกันออกจากระบบฯ
1. สังคมมีทัศนคติเชิงลบต่อการข่มขืนในคู่สมรส อาทิเช่น การมองว่าการข่มขืนระหว่างคู่สมรสเป็นเรื่องภายในครอบครัว หรือที่เรียกกันอย่างติดปากว่าเป็น “เรื่องของผัวเมีย” ที่คนนอกไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยว ก่อให้เกิดเป็นปรากฏการณ์ที่คล้ายกับ bystander effect กล่าวคือ ผู้ถูกกระทำมักจะถูกเพิกเฉยและไม่ได้รับการช่วยเหลือจากบุคคลนอกความสัมพันธ์ ในบริบทของสังคมไทย สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงการให้ความสำคัญกับฉากหน้าของสถาบันครอบครัว แต่กลับละเลยถึงสิทธิในชีวิตเนื้อตัวร่างกายของปัจเจกบุคคล อีกทั้งยังสะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรม “การรักษาหน้า” มากกว่าสิ่งอื่นใดเป็นอย่างยิ่งของคนไทย กลายเป็นสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเพราะความเป็นญาติและคนรู้จัก
ทัศนคติเชิงลบประการสุดท้าย ได้แก่การที่สังคมไม่มีความเข้าใจเกี่ยวกับความรุนแรงในครอบครัวมากเพียงพอ จนนำไปสู่สภาวะความขาดแคลนความเข้าใจ (empathy) ในบางกรณีสังคมนอกจากจะไม่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือแล้วก็ยังก่นด่า ล้อเลียน และกล่าวโทษผู้ประสบความรุนแรงอีกด้วย
2. การที่สังคมถูกหล่อหลอมให้มองว่าเรื่องดังกล่าวไม่ว่าจะเป็นเรื่องทัศนคติในข้างต้นรวมถึงการข่มขืนในคู่สมรสนั้น “เป็นเรื่องปกติ” หรือเป็นเรื่องที่ควรจะเป็นไปในการสมรส ทำให้ในบางกรณีผู้ถูกกระทำเอง โดยเฉพาะผู้หญิงที่เติบโตมาในสภาพแวดล้อมแบบอนุรักษ์นิยม ก็ไม่เข้าใจในเรื่อง “สิทธิในเนื้อตัวร่างกายของตนเอง” มากนัก เนื่องด้วยถูกหล่อหลอม (ผ่านกระบวนการทางสังคม: normalisation and/or internalisation) ให้สยบยอมกับวัฒนธรรมระบอบปิตาธิปไตยที่ผู้ชาย เช่น พ่อ หรือ สามี มีความเป็นใหญ่กว่าเพศอื่น ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นปัญหาในเชิงโครงสร้างของวัฒนธรรมไทยที่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าต่างได้ถูกส่งต่อและถูกทำซ้ำมาเรื่อย ๆ ตั้งแต่บริบทของอดีตจนถึงบริบทของรัฐไทยในปัจจุบัน
3. ระบบกฎหมายอันรวมถึงทัศนคติของเจ้าพนักงานตำรวจและผู้ให้บริการอื่น ๆ ของรัฐเองก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้ความรุนแรงของการข่มขืนระหว่างคู่สมรสนั้นถูกลดทอนไปจนส่งผลทำให้ผู้ถูกกระทำถูกกีดกันออกไปจากระบบยุติธรรมและหรือระบบความช่วยเหลือในที่สุด
กล่าวคือ จากการศึกษาจากงานวิจัยหลายประเทศของสหประชาชาติ (UN) เรื่อง การพิจารณาคดีข่มขืน ความเข้าใจเรื่องการตอบสนองของกระบวนการยุติธรรมทางอาญาต่อความรุนแรงทางเพศในประเทศไทยและ ประเทศเวียดนาม ปี 2017 ระบุว่า เจ้าหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรมของไทย อย่างเช่น ตำรวจ ฯลฯ และผู้ให้บริการของรัฐประเภทอื่น ๆ มีแนวโน้มที่จะมี “อคติทางเพศและการเหมารวม” อันนำไปสู่การเลือกปฏิบัติระหว่างหรือก่อนเข้ากระบวนการยุติธรรม อีกทั้งยังกระบวนการทางอาญาของไทยยัง “ขาดขั้นตอนดำเนินงานที่คำนึงถึงผู้เสียหายเป็นหลัก” ทำให้เกิดเป็นสภาวะแวดล้อมที่ไม่เป็นมิตรต่อผู้เสียหาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่การข่มขืนหรือการกระทำความผิดทางเพศลักษณะอื่นเกิดขึ้นระหว่างคนใกล้ชิด (IPV) อย่างเช่น คู่สมรส สามีภรรยา หรือคู่รัก เจ้าหน้าที่ตำรวจหรือผู้ให้บริการมีแนวโน้มที่จะทำตัวเป็นคนกลางและโน้มน้าวให้ผู้เสียหายไกล่เกลี่ย “ระงับคดีในรูปแบบอื่น ๆ นอกระบบยุติธรรมทางอาญา” หรือกดดันทางอ้อมให้ผู้เสียหายยุติคดี เป็นต้น
นอกจากนี้ กฎหมายข่มขืนกระทำชำเราของไทยเองก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผู้เสียในกรณีการข่มขืนกระทำชำเราในสามีภรรยาถูกกีดกันออกจากระบบยุติธรรมฯ เพราะกฎหมายดูเหมือนจะเป็นธรรม แต่ในทางปฏิบัติกลับไม่ได้เป็นไปอย่างที่คิด
ก่อนที่กฎหมายการข่มขืนกระทำชำเราของไทยจะพัฒนามาได้จนถึงทุกวันนี้ – การข่มขืนระหว่างคู่สามีภรรยาถือเป็นความผิดทางอาญา – ความพยายามในการแก้ไขกฎหมายที่ผ่านมาล้วนพบเจอกับอุปสรรคในรูปแบบของ “ความชายเป็นใหญ่” มาโดยตลอด เช่น การถ่ายทอดวัฒนธรรมชายเป็นใหญ่จากสังคมโบราณสู่บริบทรัฐสมัยใหม่ กล่าวคือ กฎหมายไทยได้รับการถ่ายทอดแนวคิดชายเป็นใหญ่มาจากกฎหมายโบราณ และเคยมีการบัญญัติว่า “การข่มขืนภรรยาที่กระทำโดยสามี” ไม่เป็นความผิดอาญา ดั่งที่เคยปรากฏในประมวลกฎหมายอาญาเดิมและในทุกฉบับที่ผ่านมา (ก่อนมติครม. ปี พ.ศ. 2550) มาตรา 276 ใจความว่า “ผู้ใดข่มขืนกระทำชำเราหญิงซึ่งมิใช่ภรรยาของตนโดยการขู่เข็ญด้วยประการใด ๆ โดยใช้กำลังประทุษร้าย …”
ร่องรอยทางประวัติศาสตร์ของการที่กฎหมายเคยอนุญาตให้สามีข่มขืนกระทำชำเราภรรยาได้โดยไม่เป็นความผิดนั้นแสดงให้เห็นถึงสภาพปัญหาของสังคมที่มีความขัดแย้งต่อหลักความเสมอภาคเท่าเทียมของโลกยุคสมัยใหม่ กล่าวคือ การที่กฎหมายระบุให้การข่มขืนภรรยาตนเองนั้นไม่ผิด แสดงให้เห็นถึง (1) การเลือกปฏิบัติต่อผู้หญิงที่เป็นภรรยา และ (2) หลักคิดและความเป็นอยู่ของความชายเป็นใหญ่ที่ปฏิบัติต่อภรรยาเสมือนหนึ่งเป็นทรัพย์สมบัติของสามี ฯลฯ สาเหตุเหล่านี้จึงก่อให้เกิดเป็นความจำเป็นในการขับเคลื่อนของภาคประชาสังคมในการส่งเสริมการสร้างวาทกรรมเรื่องสิทธิเนื้อตัวร่างกายของผู้หญิงไทยที่กินเวลามายาวนานกว่า 10 ปี
กฎหมายปัจจุบัน ถึงแม้ว่าจะมีการยืนยันหลักการเดิม – ที่ให้การข่มขืนระหว่างสามีภรรยาเป็นความผิดทางอาญาและยังคงวางสภาพให้เป็นความผิดที่สามารถยอมความได้ในบางกรณีที่ไม่ได้อยู่ในสภาพพฤติการณ์ที่ร้ายแรง เช่น การข่มขืนนั้นเกิดขึ้นต่อหน้าธารกำนัล หรือ หรือไม่เป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำรับอันตรายสาหัสหรือถึงแก่ความตาย – อย่างไรก็ตาม ยังคงมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่อเรื่อง “การยอมความ” ว่าเป็นสิ่งที่จะช่วยทำให้อัตราการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมเพิ่มขึ้นได้จริงหรือไม่ กล่าวคือ:
ข้อเท็จจริงจากการศึกษาเกี่ยวกับการพิจารณาคดีข่มขืน โดย UN (2017) พบว่า ตลอดระยะเวลาแห่งกระบวนการสอบสวนนั้นสามารถมีหลายปัจจัยที่ทำให้ผู้เสียหายล้มเลิกความตั้งใจในการฟ้องคดี นำไปสู่การถอนคำร้องทุกข์เพราะตัวอคติจากเจ้าหน้าที่เอง และหรือความกดดันจากคนรอบข้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากผู้กระทำผิดเป็นสามีของตนเอง รวมถึงลักษณะกระบวนการที่มีความล่าช้าและไม่เป็นมิตรต่อผู้เสียหาย
นอกจากนี้ยังมีกรณีที่ผ่านชั้นสืบสวนสอบสวนไปจนถึงชั้นไต่สวนในชั้นศาลแล้วเกิดการยอมความขึ้น เพราะสาเหตุเดียวกันกับข้างต้น – อคติของเจ้าหน้าที่และความกดดันฯ หรือกระบวนการที่ไม่เป็นมิตร – รวมถึงการถูกบังคับทั้งทางตรงและทางอ้อมจากคู่กรณีที่ยังมีสถานะเป็นสามี เพราะอย่าลืมว่าในสังคมไทย สิ่งที่เรียกว่าความเหนียวแน่นและความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของคนใน “สถาบันครอบครัว” เป็นเรื่องที่สำคัญเป็นอย่างยิ่ง จนบางครั้งคุณค่าเหล่านี้ก็ทำให้บุคคลและสังคมละเลยถึงปัญหาเรื่องสิทธิในเนื้อตัวและร่างกายของปัจเจกบุคคล
ซึ่งหากการยอมความ (รวมถึงการถอนคำร้องทุกข์กล่าวโทษ) ดังกล่าวเกิดขึ้นเพราะการถูกบังคับกดดันจากครอบครัวหรือตัวสามีผู้กระทำความผิดเอง นอกจากสิทธิในทางกฎหมายอย่างเช่น การนำคดีอาญามาฟ้องระงับไปตามมาตารา 39 ป.วิ.อ. ยังทำให้ผู้เสียหายสามารถตกอยู่ในวงจรแห่งความรุนแรงทางเพศซ้ำไปมาอย่างไม่จบสิ้น อันนำไปสู่ปัญหาที่ไม่สามารถละเลยได้เป็นอย่างยิ่ง เช่น ปัญหาด้านสภาพจิตใจของผู้ถูกกระทำ ได้แก่ ปัญหาผู้ถูกกระทำมักรู้สึกอับอาย และโทษตนเอง (self-blaming) โดยเฉพาะเมื่อความสัมพันธ์ทางเพศนั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากคนใกล้ชิดและเป็นบุคคลในครอบครัวความรู้สึกผิดและการโทษตนเองนี้อาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพจิตอื่น ๆ ตามมาได้อย่าง ภาวะ Post Traumatic Stress Disorder (PTSD) และ ภาวะซึมเศร้า ฯลฯ
เมื่อการข่มขืนในคู่สมรสยังเป็นปัญหาที่เรื้อรังและสังคมส่วนหนึ่งยังไม่มีทีท่าที่จะให้ความสำคัญกับสิทธิในเนื้อตัวและร่างกายมากกว่าสถาบัน สังคมส่วนอื่นจะต้องร่วมกันย้ำหลักการและความถูกต้องยุติธรรมที่ว่าเหตุดังกล่าวไม่ควรตกอยู่ที่ผู้เสียหาย นอกจากนี้เราต้องร่วมกันสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยโดยการหยุดล้อเลียน กล่าวโทษ หรือตีตราผู้ถูกกระทำ เสริมพลังให้ผู้เสียหายกล้าออกมาพูดและร่วมกันเรียกร้องความรับผิดชอบจากผู้กระทำ เพื่อให้บ้านและสถาบันครอบครัวเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับทุกคน
ผู้เขียน พรกนก ชัยเรืองศรี
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
สำหรับผู้ที่สนใจบริจาคเงินเพื่อสนับสนุนการทำงานของ SHero Thailand ในการให้ความช่วยเหลือด้านกฎหมายแก่ผู้เสียหายจากความรุนแรงด้วยเหตุแห่งเพศ
ตอนนี้ เราเปิดรับบริจาคอยู่ผ่านช่องทางของ @Taejai โดยสามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติม และบริจาคได้ที่ 👉🏻 https://taejai.com/en/project/ots-SHero-fund
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
อ้างอิง
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
มาตรา 1 แห่งประมวลกฎหมายอาญา
"(18)"กระทำชำเรา" หมายความว่า กระทำเพื่อสนองความใคร่ของผู้กระทำ โดยการใช้อวัยวะเพศของผู้กระทำล่วงล้ำอวัยวะเพศ ทวารหนัก หรือช่องปากของผู้อื่น"
มาตรา 276 แก้ไขใหม่ตาม พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 27) พ.ศ. 2562 ซึ่งมีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2562)
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 19) พ.ศ. 2550
Committee on the Elimination of Discrimination against Women. 3 February 2006. Consideration of Reports Submitted by States Parties under Article 18 of the Convention on the Elimination of All Forms of Discrimination against Women: Concluding Observations of the Committee on the Elimination of Discrimination against Women: Thailand, CEDAW/C/THA/CO/5, United Nations, accessed 28 February 2024.
บรรณานุกรม
ปรีชญาภรณ์ จันทร์รักษ์ (2551). กระบวนการขับเคลื่อนของสังคมต่อการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 กับการสร้างวาทกรรมเรื่องสิทธิเนื้อตัวร่างกายของผู้หญิง. มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
Bibliography
Agarwal, N., Abdalla, S. M., & Cohen, G. H. (2022). Marital rape and its impact on the mental health of women in India: A systematic review. PLOS global public health, 2(6), e0000601. https://doi.org/10.1371/journal.pgph.0000601
Asanasak, Suprawee 2021. Rethinking Female Subjectivity in Thai Rape Law from a Transnational Legal Feminist Perspective Faculty of Law, Thammasat University funded by the Research Promotion Committee.
Bethel, M. (2023). MARITAL RAPE & STATE PARTY OBLIGATIONS UNDER CEDAW: Review of Protection against GBV AW by CEDAW Convention, GR 35 and CEDAW Optional Protocol- Main findings and recommendations to SP/for refining recommendations and indicators for reporting and implementation/. In https://www.ohchr.org/en/documents/tools-and-resources/marital-rape-state-party-obligations-under-cedaw.
Blagg, R. D. (2024, November 29). Bystander effect | Causes & Consequences. Encyclopedia Britannica. https://www.britannica.com/topic/bystander-effect
Chuemchit, M., Chernkwanma, S., Rugkua, R. et al. Prevalence of Intimate Partner Violence in Thailand. J Fam Viol 33, 315–323 (2018). https://doi.org/10.1007/s10896-018-9960-9
THE TRIAL OF RAPE: Understanding the criminal justice system response to sexual violence in Thailand and Viet Nam. (2017). UN Women – Asia-Pacific. https://asiapacific.unwomen.org/en/digital-library/publications/2017/09/the-trial-of-rape#:~:text=This%20study,%20the%20first%20of%20its%20kind%20in
Komentar