Our Srories

[TH] เวิร์คช็อป ‘การเล่าเรื่องผ่านงานศิลปะ’ 14 ก.พ. 2560

วันวาเลนไทน์ ที่ผ่านมา (14 กุมภาฯ 2017) เราได้ไปทำเวิคชอปเล็กๆ กับพี่ๆ ชุมชนผู้อพยพ คือ ‘การเล่าเรื่องผ่านงานศิลปะ’
เนื่องจากคีย์ของกิจกรรมมีความละเอียดอ่อน เราเองก็กล้าๆกลัวๆ แน่นอนว่าเราต้องติดต่อกับพี่ผู้นำก่อนว่าจะเข้าไปจัดอย่างไร ที่เหมาะสม
หลังจากประเมินแล้ว ก็ได้คัดผู้เข้าร่วมที่มีบทบาทในชุมชนอยู่พอตัว วัยกลางคน หญิงและชาย
เวิคชอป มีวิธีง่ายมาก แต่โจทย์ก็หนักอยู่:
มันคือการทำ Collage Art ตัดเปะกระดาษ จากMagazine มาทำเป็นงานศิลปะ เล่าชีวิตความยากลำบาก เหตุการความรุนแรง(ถ้าเจอ) และบทเรียนจากประสบการณ์นั้น ผ่านการแปะๆ กระดาษลงไป
(เราเองก็ได้ไอเดียมาจากงานของคุณนักรบและเวิคชอปของสถาบันเพื่อการยุติธรรมเมื่อปีก่อน)
แน่นอนว่าเราก็ทำของเรา และเล่าเรื่องของเราเหมือนกัน
ใช้เวลาไม่นาน บรรยากาศสบายๆ ตัดกระดาษกัน เราไม่ได้หวังอะไรมาก
จริงๆแล้วการไปทำกิจกรรมครั้งนั้นเหมือนการลองงานกับกลุ่มแกนนำก่อนที่จะลงไปจัดกิจกรรมกับผู้หญิง แม่และเด็กโดยตรงและกลุ่มใหญ่ขึ้น (ความคิดตอนนั้น)
ปรากฎว่า งานศิลปะของแต่ละคนที่ออกมาก็ดูเป็นการตัดแปะจริงๆ ฮ่าๆ แต่ก็ไม่เป็นไร
คราวนี้พอถึงตอนเล่าเรื่องนี้แหละ ทุกคนที่เล่า ค่อยๆบรรยายที่ละรูป ก็มีเขินๆขำๆในตอนแรกบ้าง (มีพี่ล่ามแปลภาษาพม่า-ไทยให้เรา) แต่พอเล่าไปเรื่อย ๆ น้ำตาก็ไหลออกมา ความยากลำบาก ยากจน ครอบครัวที่ต้องย้ายถิ่น
การพลัดพราก ถูกสามีทอดทิ้ง ถูกทำร้ายร่างกายจิตใจ มันออกมาหมด. เราไม่เคยรู้จักเขามาก่อน แต่สิ่งที่เราสร้าง คือเราสร้างพื้นที่ปลอดภัย (safe space) ให้เขา ผ่านการทำงานศิลปะร่วมกัน ผ่านการที่เราก็แชร์เหมือนกัน

หลังจากนั้นก็มีการให้กำลังใจกัน พูดคุย เราเองก็น้ำตาคลอแต่เราก็ต้องทำเก่งเอาไว้นิดนึง สิ่งที่เราจะบอกทุกคนตลอดเวลาให้ความช่วยเหลือเหยื่อ กลุ่มเปราะบาง หรือคนที่โดนทำร้ายมา ไม่ว่าจะโดยความรุนแรงรูปแบบไหน
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การให้กำลังใจ ให้ emotional support การสร้างพื้นที่เสริมพลังให้ผู้ถูกกระทำ ปัญหาความรุนแรง สามี-ภรรยา ทำร้ายกัน แฟนตบตีกัน ส่วนใหญ่คนจะเข้าไปช่วยตรงๆมันก็ยาก เพราะDomestic Violence มันมีความสัมพันธ์ของคนสองคนอยู่ คนนอกก็ไม่อยากจะยุ่ง แต่คุณทำได้ค่ะ ถ้าอยากจะช่วย

ตัวอย่างง่ายๆ คือคนข้างบ้านวิวาทกันบ่อย ได้ยินเสียงผู้ถูกกระทำโดนทำร้ายหลายรอบแล้ว แต่ไม่กล้าทำอะไร และก็ไม่รู้ว่าทำอะไรได้บ้าง คนในชุมชนก็มองเป็นเรื่องปกติ (เคสแบบนี้มาบ่อยมาก)
ถ้ายังไม่รู้ว้าจะทำอะไร
แต่ต้องรู้ว่าอะไรที่ ‘ไม่ควรทำ’ เช่น
– อย่านินทา (จะทำให้ผู้ถูกกระทำขอความช่วยเหลือยากกว่าเดิม และอาจส่งผลกระทบถึงสภาพติดใจอีกด้วย จริงๆแล้วการนินทานี่ไม่ควรเป็นนิสัยไม่ว่าจะเคสใดก็ตาม ฮ่าๆ)
สั้นๆ คือ หากเราเป็นเพื่อนบ้านกับผู้ถูกกระทำเราสามารถทำได้ง่ายๆ โดยการเข้าไปตีสนิทแบบไม่ประเจิดประเจ้อมาก และชวนทำกิจกรรมร่วมกัน อาจจะรวมกลุ่มแม่บ้านพ่อบ้านมาทำอะไรสักอย่าง เพื่อจรรโลงใจ และค่อยเริ่มแสดงทางช่วยเหลือด้านจิตใจและร่างกายต่อผู้ถูกกระทำโดยทางอ้อม เช่น แชร์ข่าวให้ดูว่า หากมีกรณีถูกกระทำความรุนแรงเกิดขึ้น เขาติดต่อใครยังไงกันบ้าง
เหล่านี้ต้องใช้ความระแวดระวังแต่ก็ไม่ใช่ละเลย
ผู้นำชุมชนก็มีบทบาทมากที่เดียวที่จะสามารถเป็นคีย์ในการแก้ไขปัญหาความรุนแรงได้
แต่เบื้องต้น ระยะแรก คือการให้กำลังใจ สองคือ หาทางหนีทีไล่ คนรอบข้างก็คอยสอดส่องกันมากขึ้น ตัวผู้ถูกกระทำเองก็มีเบอร์ฉุกเฉินที่สามารถขอความช่วยเหลือได้ มีช่องติดต่อคนใกล้บ้าน
นี่แหละ คือการช่วย…
คนพูดกับเราว่า ‘ก็ไม่รู้จะช่วยยังไง’ เพราะปัจจัยหลายอย่าง
ซึ่งแต่ละเคส เอาตรงๆ ว่าถ้ามันมี ‘ปัญหาที่ระบุได้’ มันก็มี ‘การแก้ปัญหาที่ระบุได้’ เช่นกัน
การทำArt Therapy Classก็เป็นตัวอย่างหนึ่งที่ง่ายๆ ที่คนรุ่นใหม่เองก็สามารถริเริ่มและสร้างเครือข่ายส่งเสริมชุมชนของตัวเองได้ไม่ยากเลย
สร้าง safe space ให้คนออกมาพูด ให้คนสามารถพึ่งพา ขอความช่วยเหลือ ย่อมแก้ปัญหาได้มากกว่าการที่เรามานั่งกดดันตัวเหยื่อ ให้ ‘ไปแจ้งความสิ’ ‘โดนไรมากบอกสิ’ ‘คบกับมันอยู่ทำไม’
นอกจากจะไม่ช่วยอะไรแล้ว คุณก็ไม่ได้แก้ให้อะไรดีขึ้นเลย
มาสรรสร้าง แชร์พลังบวก ในสังคมรอบตัวคุณ แก้ปัญหาความรุนแรง เริ่มที่ชุมชน เริ่มโดยคนรุ่นใหม่กันเถอะค่ะ ❤
ราตรีสวัสดิ์.