1. ผู้ถูกกระทำต้องอ่อนแอ (เป็นผู้หญิงหรือผู้สูงอายุ)
2. ผู้ถูกกระทำต้องทำอาชีพหรืองานที่ได้รับการยอมรับในสังคม
3. สถานที่ที่ผู้ถูกกระทำอยู่ต้องไม่เป็นพื้นที่ที่เสี่ยงและสามารถนำมาใช้ตำหนิได้ทีหลัง เช่น อยู่ที่กลางถนนในตอนกลางวัน
4. ผู้กระทำต้องมีอำนาจและเป็นคนไม่ดี
5. ผู้กระทำต้องไม่มีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับผู้ถูกกระทำ
ในการพิจารณาคดีของบิล คอสบี้ ดาราตลกชื่อดังของอเมริกาที่วางยาและข่มขืน เจนิส ดิกคินสัน นางแบบสาว ทนายความของ บิลกล่าวในการพิจารณาคดีว่า “it sounds as if she slept with almost every single man on the planet” (มันเหมือนกับว่าเธอก็นอนกับผู้ชายทุกคนบนโลกนี้แล้ว)
ในประเทศอิตาลี ผู้พิพากษายกเลิกข้อกล่าวกับชายวัย 46 ที่ได้รับการกล่าวหาว่ากระทำชำเราเพื่อนร่วมงานผู้หญิง เพียงเพราะผู้หญิงไม่ได้กรีดร้องระหว่างที่ถูกกระทำชำเรา
ในอังกฤษ ทนายความของผู้ต้องหาคดีข่มขืนได้บอกกับศาลว่า ผู้ผ่านความรุนแรงทางเพศที่ฆ่าตัวตายหลังจากถูกข่มขืนนั้น ไม่ได้เศร้าและสูญเสีย “ขนาดนั้น” เนื่องจากเธอโพสต์รูปยิ้มบนเฟสบุ๊ค
ในมาเลเซีย นักบินที่ถูกกล่าวหาว่าข่มขืนแอร์โฮสเตส ได้ให้การว่าเธอทำตัว “ปกติและยังมีความสุขดี”จึงไม่ถือว่าเป็นการข่มขืน
สิ่งเหล่านี้เป็นตัวอย่างของมายาคติเหยื่อในอุดมคติ บางประเทศยกตัวอย่างเช่นแคนาดาและนิวซีแลนด์มีการบังคับใช้กฎหมาย Rape Shield Law ที่ห้ามไม่ให้ใช้หลักฐานหรือนำข้อมูลที่เกี่ยวกับพฤติกรรมและอดีตของผู้ร้องเรียนในคดีที่เกี่ยวข้องกับความรุนแรงทางเพศมาใช้ในกระบวนการในชั้นศาล อย่างไรก็ตามกฎหมายนี้ยังไม่ได้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายในโลก และในทางปฎิบัติกฎหมายนี้ไม่สามารถห้ามไม่ให้คนในสังคมขุดคุ้ยเรื่องราวหรือกล่าวโทษเหยื่อได้ มีตัวอย่างมากมายที่แสดงให้เราเห็นได้ชัดว่าสื่อมีส่วนในการสร้างซ้ำภาพจำของเหยื่อในอุดมคติ
เมื่อพูดถึงความรุนแรงทางเพศหรือแม้กระทั่งการรณรงค์เรื่องความรุนแรงทางเพศ สื่อหรือบางครั้งแม้กระทั่งองค์กรที่เกี่ยวข้องมักจะนำเสนอรูปของผู้ได้รับผลกระทบจากความรุนแรงทางเพศที่สิ้นหวัง พยายามหนีหรือมีบาดแผลทางร่างกายและจิตใจที่ชัดเจน ซึ่งทำให้สังคมจำภาพเหล่านั้นและสร้างความคาดหวังให้ผู้ได้รับผลกระทบจากความรุนแรงทางเพศต้องแสดงออกตามนั้นเมื่อเผชิญความรุนแรงทางเพศ การที่ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากความรุนแรงทางเพศไม่พยายามหนี กรีดร้องหรือร้องไห้ระหว่างที่ประสบความความรุนแรงทางเพศ สิ่งเหล่านี้กลายเป็นสิ่งที่สังคมและผู้กระทำใช้อ้างความชอบธรรมในการกระทำความรุนแรง สิ่งนี้กลายเป็นหลักฐานว่าพวกเธอเหล่านั้นยินยอม ทั้งนี้หลังจากที่ประสบความรุนแรงทางเพศแล้ว หากผู้ได้รับผลกระทบจากความรุนแรงทางเพศไม่แสดงอาการที่อ่อนแอหรือสิ้นหวัง ความรุนแรงที่เธอประสบมานั้นจะกลายเป็นสิ่งที่ “ไม่ใช่เรื่องใหญ่” ในสายตาคนในสังคมทันที มายาคติเหยื่อในอุดมคตินี้เพิกเฉยต่อข้อเท็จจริงที่ว่า
ผู้ได้รับผลกระทบจากความรุนแรงทางเพศจำนวนมากมักเข้าสู่ปฏิกิริยา “สู้ หรือ หนี หรือ หยุดเกร็ง” (“fight or flight or freeze”) ทำให้ไม่สามารถตอบสนองในรูปแบบที่สังคมคาดหวังว่าพวกเธอควรจะตอบสนอง
สิ่งเหล่านี้เป็นการกล่าวโทษเหยื่อ (victim blaming) และสร้างความชอบธรรมให้กับอาชญากรตัวจริง ด้วยการให้ความสำคัญกับปฏิกิริยาของเหยื่อ อัตลักษณ์ ชุดที่ใส่หรือแม้กระทั่งภูมิหลังของผู้ได้รับผลกระทบจากความรุนแรงทางเพศ มายาคตินี้ทำให้คดีความล่วงละเมิดทางเพศและความรุนแรงทางเพศใช้เวลาในการดำเนินการเพื่อสอบสวนและดำเนินคดีนาน ซึ่งส่งผลให้ผู้ได้รับผลกระทบจากความรุนแรงทางเพศมากมายรู้สึกว่าไม่สามารถพึ่งพากระบวนการยุติธรรมได้ และรู้สึกว่าตนเองเป็นผู้กระทำความผิดเสียเองซึ่งทำให้เมื่อเกิดความรุนแรงทางเพศขึ้น ผู้ได้รับผลกระทบจากความรุนแรงทางเพศจึงมักเลือกที่ไม่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ผู้คนในสังคมเพิกเฉยต่อความรุนแรงที่พวกเธอได้รับ ทำให้ผู้ได้รับผลกระทบจากความรุนแรงทางเพศบางกลุ่มคิดว่าความรุนแรงที่พวกเธอได้เผชิญนั้นเป็นสิ่งที่พวกเธอ “สมควรโดน” ยกตัวอย่างเช่นผู้ให้บริการทางเพศที่ถูกผลักให้อยู่กับความคิดที่ว่า ความรุนแรงทางเพศนั้นเป็นสิ่งที่ “หลีกเลี่ยงไม่ได้” ในสายอาชีพของพวกเธอ
สิ่งที่สังคมต้องตระหนักคือเพียงเพราะผู้ได้รับผลกระทบจากความรุนแรงทางเพศไม่กรีดร้อง ร้องไห้ สั่นกลัวหรือแสดงท่าทีที่อ่อนแอ นั่นไม่ได้หมายความความรุนแรงทางเพศนั้นไม่เคยเกิดขึ้น หรือไม่ได้หมายความว่าพวกเธอยินดีกับความรุนแรงเหล่านั้น หากพวกเธอไม่พูด นั่นไม่ได้หมายความว่าเธอเชื้อเชิญให้ความรุนแรงเหล่านั้นเกิดขึ้นอีกครั้ง และหากพวกเธอก้าวออกมาต่อสู้เพื่อตัวของพวกเธอเองมันไม่ได้หมายความว่าสิ่งที่พวกเธอเผชิญไม่ได้ทำให้พวกเธอแตกสลาย พวกเธอมีสิทธิในการแสดงออกอย่างไรก็ได้ มีสิทธิเลือกที่จะดำเนินการอย่างไรก็ได้ต่อความรุนแรงที่เธอเผชิญ
ในโลกนี้ไม่มี “เหยื่อในอุดมคติ” มีเพียงแต่วัฒนธรรมข่มขืนและการกล่าวโทษเหยื่อเท่านั้น (There is no perfect victim, but Rape culture and victim blaming)
Written by Nudchanard k.
Edited by Busayapa S.
*ที่ผ่านมา SHero Thailand ใช้คำว่าผู้เสียหายหรือผู้ได้รับผลกระทบ โดยหลีกเลี่ยงที่จะใช้คำว่า’เหยื่อ’ แต่ในบทความนี้เป็นการแปลคำจากฐานคิดทฤษฎี เราจึงใช้บางคำเพื่อจุดประสงค์ในการสะท้อนปัญหามายาคติเท่านั้น
. ปรึกษาปัญหาความรุนแรงด้วยเหตุแห่งเพศและติดตามเราได้ที่
Facebook/Twitter/Instagram @Sherothailand www.sherothailand.org
Thank you for visiting SHero Thailand.
As we mark our 9th year as a 100% volunteer-run organization, we have reached our operational limits. We’re actively seeking additional resources to ensure sustainability and are currently focusing on supporting our existing clients.
At this time, we are unable to offer active responses or accept new legal consultation requests due to our limited capacity.
In Case of Emergencies:
Thai Police: Call 191
Tourist Police: Call 1155 (available 24/7 and offer English-speaking support)
For Further Assistance:
Women and Men Progressive Movement
Email: info@wmp.or.th
Phone: 02-513-2889
Website: https://www.wmp.or.th/contact
We sincerely appreciate your understanding and are committed to resuming our services as soon as possible.
Warm regards,
SHero Team